์News

์News

ระบบน้ำ และสับปะรด เทคนิคสู้แล้ง ของสวนยาง สามร้อยยอด


ภาพสวนยางปัจจุบัน แลดูร่มรื่นชุ่มชื้นกว่าสมัยทำไร่สับปะรด ว่ากันว่าถ้ามีการปลูกสร้างสวนยางมากๆ จะเป็นแม่เหล็กดูดความชื้นและฝน อากาศแล้งจัดอาจจะละลายหายไปจากพื้นที่แห่งนี้ก็เป็นได้

            “ทำไมประจวบฯ มันแล้งจริงๆ” เจ้าของสวนยางรายหนึ่งใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เคยรำพึงรำพันอย่างนี้ ซึ่งเป็นกระจกสะท้อนว่าที่นี่ประสบปัญหาเรื่องแล้ง...!!!
            คำถามก็คือแล้งๆ อย่างนี้แต่ทำไมสวนยางในจังหวัดที่ยาวและแคบที่สุดของประเทศจึงมีอัตราการขยายพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็ว...???
            หรือเกษตรกรที่นี่จะมีเทคนิคพิเศษปลูกสร้างสวนยางสู้ภัยแล้ง...!!!
            คำตอบก็คือ “ใช่” เกษตรกรที่นี่เขามีเทคนิคการสร้างสวนยางอย่างมีระบบเพื่อเอาชนะข้อจำกัดเรื่องภัยแล้งในพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตสวนยางใหม่
            ตัวช่วยที่ถือเป็นพระเอกก็คือ ระบบน้ำ และสับปะรด...!!!
            วิธีการเขาทำกันอย่างไร ผู้เขียนมีตัวอย่างเทคนิคสู้ภัยแล้งจากเกษตรกร ในพื้นที่ อ.สามร้อยยอดมาให้ชม
           
พงศกร ปัญญาสร้างสรรค์ เจ้าของสวนยาง 250 ไร่ ใน อ.สามร้อยยอด ผู้เขียนเคยนำเสนอเทคนิคการสร้างสวนยางของเขาไปแล้ว (อ่านเทคนิคปลูกยางอินทรีย์ 250 ไร่ 4.5 ปีกรีด เตรียมโกยเงิน 75,000 บาท/วัน ฉบับ 9/1/2554) แม้จะเป็นชาวสวนยางมือใหม่ เพิ่มเปิดกรีดได้ประมาณ 2 ปีเท่านั้น แต่ด้วยการศึกษาเรื่องยางอย่างจริงจัง เขาจึงมีองค์ความรู้เกินประสบการณ์อย่างไม่น่าเชื่อ พิสูจน์ได้จากสภาพต้นยางและระบบการจัดการภายในสวน
พงศกร ปัญญาสร้างสรรค์ อดีตเจ้าของไร่สับปะรดและขนุนพันธุ์ทองสุขใจ 250 ไร่ 
แต่วันนี้พื้นที่ทั้งหมดแปรสภาพกลายเป็นสวนยางพาราทั้งหมด แต่แม้จะต้อง “ชก”
 กับสภาพอากาศแล้ง แต่เขาก็สามารถเอาชนะมันได้ ซึ่งมาจากการศึกษาและดูแลสวนยาง
อย่างเอาใจใส่ อย่าแปลกในที่องค์ความรู้เรื่องยางของเขาจะมากเกินประสบการณ์
            โดยเฉพาะเทคนิคเพื่อสู้กับข้อจำกัดของพื้นที่อย่างภัยแล้ง...!!!
            แต่ปัจจัยในการพิจารณาพื้นที่ปลูกยาง พงศกรให้ข้อมูลว่า ก่อนจะตัดสินใจปลูกต้องดูภาพรวมของสภาพพื้นที่ว่าดินมีความสมบูรณ์มากหรือน้อย ถ้าสมบูรณ์น้อยแต่พอจะฟื้นฟูดินได้หรือไม่ หรือดูง่ายๆ จากพืชหลักที่เคยปลูกอยู่ก่อนอย่าง สับปะรด ถ้าปลูกสับปะรดงาม ก็ปลูกยางได้แน่นอน
แต่หากพื้นที่ตรงไหนที่ปลูกสับปะรดได้ผลผลิตน้อยไม่งาม ก็ไม่ควรปลูกยาง เพราะต่อให้ต้นยางรอด ผลผลิตก็ได้น้อยอยู่ดี

ระบบน้ำคือหัวใจ สู้ภัยแล้งในสวนยาง
นับตั้งแต่พงศกรตัดสินใจโค่นสวนขนุน 200 ไร่ และพื้นที่ปลูกสับปะรดบางส่วนเพื่อสร้างสวนยางเมื่อ 5-6 ปีก่อน สิ่งแรกที่เขาทำคือการขุดสระกักเก็บน้ำขึ้นภายในพื้นที่ที่ 2 บ่อ ขนาด 1 ไร่(บ่อน้ำซึม) และ 10 ไร่ (บ่อน้ำฝน) เพื่อใช้ในสวนยางในช่องที่อากาศแล้งยาวๆ
แต่วันนี้สวนยาง 250 ไร่ ได้วางระบบน้ำไว้โดยรอบด้วยระบบสปริงเกลอร์ วิธีการคือ สูบน้ำจากบ่อ 10 ไร่ ซึ่งอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดของสวน ขึ้นมาบนเนินเขาเหนือสวนระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วปล่อยให้น้ำไหลตามแรงโน้มถ่วง โดยไม่ต้องมีแทงก์เก็บ น้ำจะไหลลงมาด้านล่างรดต้นยางตามธรรมชาติ เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประหยัดน้ำมันปั่นเครื่องสูบน้ำได้อีกทางหนึ่ง ส่วนสวนยางที่อยู่ในพื้นที่ราบก็ใช้เครื่องสูบน้ำรดผ่านระบบสปริงเกลอร์ธรรมดา แต่เขาก็ต้องลงทุนระบบน้ำไปหลักล้านบาท
เทคนิคการให้น้ำแบบประหยัดน้ำมันของพงศกรคือ
 การสูบน้ำจากบ่อด้านล้างขึ้นตามท่อมาบริเวณเชิงเขา 
จากนั้นจะปล่อยให้น้ำไหลตามท่อน้ำลงไปลดต้นยางด้านล่าง

ช่วงเวลาของการให้น้ำสวนยางพงศกรให้ข้อมูลว่า จะให้ช่วงระหว่างฝนชุดที่ 1 กับชุดที่ 2 โดยพิจารณาว่าถ้าหมดฝนชุดที่ 1 แล้วความชื้นเริ่มจะน้อยลง แต่ฝนชุดที่ 2 ไม่มาสักที ก็ให้น้ำเพิ่มกับต้นยางเพื่อรอฝนชุดที่ 2 ทำให้น้ำปริมาณน้ำยางค่อนข้างนิ่ง แม้จะเผชิญอากาศแล้งก็ตาม
การวางระบบน้ำยังทำให้การจัดการสวนยางทำได้ง่าย โดยเฉพาะการให้ปุ๋ยผ่านระบบน้ำได้ด้วยในช่วงแล้งก่อนเปิดกรีด  โดยไม่ต้องใช้แรงงานมาก และยังใช้ยาฆ่าหญ้าในขั้นตอนนี้ได้ด้วย เรียกได้ว่ารดน้ำครั้งเดียวทำให้ทั้งให้น้ำ ให้ปุ๋ย และกำจัดวัชพืชในครั้งเดียว
เจ้าของสวนยาง 250 ไร่ อธิบายรายละเอียดเรื่องนี้ว่า ระบบน้ำในสวนยางจะมี 2 ระบบ คือ หัวสปริงเกลอร์ยิงไกล และสปริงเกลอร์แบบปีกผีเสื้อ ระบบหลังนี่แหละที่เข้าใช้ในสวนยางเปิดกรีด ซึ่งสปริงเกลอร์จะวางไว้ตรงกลางระหว่างแถวยาง รัศมีของน้ำจะไปไม่ถึงโคนต้นยาง ทำให้สามารถเดินทำงานได้ไม่เฉอะแฉะ และเชื้อราจากน้ำก็ไม่เกิดกับต้นยาง
ระบบน้ำสปริงเกลอร์แบบยิงไกล 3-5 เมตร 
เป็นระบบหนึ่งที่พงศกรใช้ให้น้ำในสวนยางอายุ 2-3 ปี 
ในช่วงหน้าแล้งหรือฝนทิ้งช่วงยาว

“การให้ปุ๋ยอย่างช่วงต้นฝนเราต้องการคอนโทรลให้ต้นยางแตกใบ ไม่ออกดอก ก็ใช้ปุ๋ย 46-0-0 ผสมเข้าไปกับระบบน้ำ แต่ก่อนหน้านั้นต้องอัดน้ำให้ชุ่มให้รากฝอยเริ่มแตกสมบูรณ์ เพราะธรรมชาติของต้นยางเมื่อแล้งต้นจะคิดว่าอาจจะตายจึงพยายามจะขยายพันธุ์จึงออกดอกออกลูก บางทีไม่มีใบ แตกช่อดอกเลย เพราะฉะนั้นก่อนที่ต้นยางจะแตกดอกเราต้องรีบอัดยูเรีย ต้นยางจะแตกใบ และใบชุดนี้จะไม่เจอฝนกรดให้เสียหาย และสามารถเปิดกรีดได้ก่อน”
ในทุกครั้งที่มีการให้น้ำต้นยางเขาจะผสมปุ๋ยน้ำหมักหอยเชอรี่ที่หมักกับ สารพด.2 ด้วยทุกครั้ง เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ให้ต้นยางอีกทาง และยังใช้ยาฆ่าหญ่าในกลุ่มพาราคว็อต (กรัมม็อกโซน) พร้อมกันได้ ซึ่งเขาบอกว่าปุ๋ยหมักเป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพให้ยาฆ่าหญ้าทำงานได้ดีขึ้น
“การผสมยาฆ่าหญ้าโดยทั่วไปจะใส่ 3-4 ลิตร/น้ำ 1,000 ลิตร แต่ของผมจะใส่แค่ลิตรครึ่ง แต่เราบวกหอยเชอรี่หมักไป 1 แกลลอน ตัวหอยเชอรี่หมักจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาฆ่าหญ้ามากยิ่งขึ้น เหมือนหญ้าเปิดปากใบที่จะรับปุ๋ยหมัก แต่ดันไปโดนยาฆ่าหญ้า ซึ่งยาฆ่าหญ้าจะไม่มีปัญหากับรากยาง เพราะพาราควอต พอตกลงดินก็หมดฤทธิ์ เพราะเป็นยาประเภทเผาไหม้ ไม่ใช่ยาดูดซึม”

สับปะรด พืชตัวเด่น ช่วยควบคุมความชื้น และเป็นปุ๋ยให้สวนยาง
เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วกันแล้วว่าสับปะรดเป็นพืชแซมที่ดีในสวนยางในช่วงปลูกยางใหม่
แต่อายุของสับปะรดจะอยู่ได้ประมาณ 3-4 ปี ต้นก็จะเริ่มหมดอายุ ขณะเดียวกันต้นยางก็เริ่มโตจนสับปะรดถูกบดบังแสง ช่วงนี้เกษตรกรส่วนใหญ่จะไม่สนใจจะปล่อยทิ้งเพราะสับปะรดไม่ได้ผลผลิต อาจจะปั่นทิ้งให้เป็นปุ๋ยในสวนยาง
ภาพนี้เป็นเทคนิคการปลูกสับปะรดรุ่น 2 ในสวนยางอายุ 3-4 ปี จะเห็นว่าสับปะรดเป็นตัวรักษาความชื้นในดิน ขณะที่ซากสับปะรดก็ย่อยเป็นอินทรียวัตถุบำรุงดินและเป็นอาหารต้นยางไปในตัว


“ช่วงรอยต่อนี้สำคัญ” พงศกรบอกอย่างนั้น พร้อมขยายความว่า เมื่อสับปะรดหมดอายุต้นยางจะอายุประมาณ 3-4 ปี เหลือ 2-3 ปี จึงจะเปิดกรีดได้
ช่วงนี้เกษตรกรมักจะปล่อยทิ้งไม่ได้มาดูแลพัฒนาสวนยางเหมือนตอนที่มีสับปะรดอยู่ วัชพืชขึ้น ต้นยางทรุดโทรม ดินตาย ยิ่งถ้าเจออากาศแล้งด้วยแล้ว ต้นยางก็อาจตายได้
วิธีการของสวนแห่งนี้คือ ต่อยอดช่องว่างนี้ด้วยวิธีปลูกสับปะรดใหม่อีกรุ่น แต่ปลูกให้ห่างขึ้น จาก 5 แถว เหลือเพียง 3 แถว เพื่อคลุมความชื้นหน้าดินในสวนยาง ส่วนซากสับปะรดที่เหลือก็ปล่อยให้ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยบริเวณรอบๆ ต้น แต่ต้องไม่ทับถมกันแน่นจนเกิดกรดแก๊ส ต้นสับปะรดก็จะค่อยๆ ย่อยสลายไปเอง ในขณะเดียวกันยังสามารถเก็บความชื้นให้กับหน้าดินได้ และไม่มีวัชพืชขึ้น
“ตรงนี้เราไม่ได้หวังเอาผลผลิตจากสับปะรด แต่ต้องการรักษาความชื้น บำรุงดินและเพิ่มอาหารให้ต้นยาง ซากสับปะรดเราก็เร่งการย่อยโดยใช้ปุ๋ยน้ำจุลินทรีย์รด ในขณะเดียวกันก็ไม่มีวัชพืชเกิด ดินดีขึ้น ดินนุ่มขึ้น มีที่อยู่อาศัยของรากฝอย
“ประเด็นหลักคือทำอย่างไรก็แล้วแต่ ให้มีพืชคลุมดินให้เยอะที่สุดเพราะบ้านเรามันแล้ง ความชื้นน้อย พอฝนตกหรือรดน้ำก็จะเก็บความชื้นไว้ได้นาน แต่ถ้าเราปล่อยโล่งๆ รดวันนี้พรุ่งนี้ก็แห้ง ไม่มีประโยชน์ กลับกับทางภาคใต้ต้องปล่อยให้โล่งเตียน เพื่อไม่ให้มีความชื้นจนเกิดไป เพราะมีความชื้นตลอด แต่ของเราต้องช่วยสะสมความชื้น”
ระบบน้ำแบบสปริงเกลอร์วางตรงกลางร่องยาง ใช้ให้น้ำในช่วงรอยต่อระหว่างฝนชุดแรกกับชุดสอง ข้อดีนอกจากจะทำให้ต้นยางให้น้ำยางคงที่แล้ว เขายังให้ปุ๋ยทั้งเคมีและอินทรีย์ รวมทั้งยาฆ่าหญ้าไปพร้อมๆ กันเลย

เปิดกรีดต้นยางไม่ถึง 50 ซ.ม.แต่มีเทคนิคไม่ให้กระทบต้นยาง
ส่วนการเริ่มต้นเปิดกรีดพงศกรย้อนให้ฟังว่า การเปิดกรีดของพื้นที่นี้จะยึดเอาตามหลักของกรมวิชาการไม่ได้...!!!
 เพราะหากจะรอให้ต้นยางเส้นรอบวง 50 ซ.ม. สภาพอากาศแล้งๆ ในโซนนี้ทำให้ต้นยางโตช้า “ถ้าทำตามกรมวิชาการเกษตร รอ 8 ปีก็ไม่ได้ ที่นี่ฝนตก 4-6 เดือน ที่เหลือไม่มีฝนเลย ถ้าดูแลไม่ดีรากก็ไม่เดิน โตก็ไม่โต
“เมื่ออายุมันถึงแล้วท่อน้ำยางเปิดแล้ว แต่ขนาดลำต้นมันไม่ใหญ่เท่าที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด เราก็กรีดได้ วิธีการคือ แบ่งเป็น 3 ส่วน ช่วงที่กรีดหน้าแรก หน้าที่เหลือก็ได้เจริญเติบโตไปด้วย”
เมื่อเริ่มเปิดกรีดต้องพิจารณาว่าปริมาณน้ำยางขนาดไหน จึงจะเริ่มทำยางแผ่นได้ เขาแนะนำว่าน้ำยางต้องได้ค่าเฉลี่ย 50 ซีซี/ถ้วยจึงจะทำยางแผ่นได้  ซึ่งคำนวณจาก 70 ต้น/ไร่ ถ้าได้ต้นละ 50 ซีซี ก็จะได้น้ำยาง 3.5 ลิตร/ไร่ สามารถทำยางแผ่นได้ 1 แผ่น
การสร้างแรงงานกรีดยางเป็นงานหนึ่งที่สวนนี้ให้ความสำคัญ เพราะเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือ ร่องรอยในภาพฟ้องได้อย่างดีว่ามีการตรวจสอบการกรีดอย่างละเอียด เพื่อให้การกรีดมีคุณภาพมากที่สุด ซึ่งจะมีผลต่อต้นยางในระยะสั้นและระยะยาว

พัฒนาฝีมือแรงงาน สร้างสวนยางเชิงคุณภาพ
ปัญหาแรงงานเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มีสำคัญในพื้นที่สวนยางใหม่ เพราะสวนยางใหม่น้ำยางย่อมน้อย ยิ่งมาเจออากาศแล้งน้ำยางจะลด เมื่อแบ่งผลประโยชน์แล้วปรากฏว่าคนงานอาจจะได้ผลตอบแทนน้อย และอยู่ไม่ได้ต้องไปหาพื้นที่อื่น
แต่ในส่วนของพงศกรเขาใช้วิธีปั้นแรงงานฝีมือของเขาเอง “ผมพยายามให้ลูกน้องกรีดยางฝีมือ เพราะต้องการสร้างแรงงานรองรับในสวน เพราะสวนยางมีปัญหาเรื่องแรงงานมาก เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นสวนยางใหม่ ต้นยางอายุยังน้อย เฉลี่ยได้น้ำยาง 1 แผ่น หรือ 1.5 แผ่น/ไร่ น้ำยางยังน้อยเพราะสภาพอากาศและความชื้นน้อย ระยะเวลากรีดอยู่ที่ 6-8 เดือน ถ้าเราไม่เตรียมการวางแผนที่ดีจำทำให้เสียโอกาส เมื่อน้ำยางน้อยแรงงานก็จะอยู่ไม่ได้ ไม่เหมือนอยู่ทางใต้ที่ทุกอย่างเอื้ออำนวย
“แต่มีอยู่ที่นี่น้ำยางได้น้อย ส่วนแบ่งก็ได้น้อย ไหนจะต้องลงทุนปุ๋ยและอุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกับเถ้าแก่ ต้นทุนเขาสูงขึ้นแรงงานก็จะหนี ผมก็คิดว่าตราบใดที่ไม่ได้ยาง 3 แผ่น/ไร่ ผมจะไม่จ้างแรงงาน เพราะถ้าจ้างก็จะเจอสภาพแบบนี้ คนงานอยู่ไม่ได้ ที่อยู่ได้จริงๆ คือพวกมือใหม่ ตอนนี้เราจึงต้องสร้างคนของเราเอง ให้อายุต้นยางสัก 10 ปี ก็น่าจะจ้างได้”
สับปะรดกลายเป็นพระเอกประจำสวนยางของสามร้อยยอด สร้างรายได้เสริมในช่วงที่ยางยังไม่ให้ผลผลิตอย่างน้อยๆ ก็ไร่ละ 30,000 บาท เป็นพืชคลุมดินรักษาความชื้นหน้าแล้ง ช่วยไม่ให้หญ้าขึ้นในสวนยาง เมื่อย่อยสลายก็กลายเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินและบำรุงต้นยาง นี่แหละพระเอกตัวจริง


พงศกรจะนำคนงานเก่าที่เคยทำงานในสวนขนุนและสับปะรดของเขามาฝึกและพัฒนาฝีมืองานสวนยาง จากเดิมคนงานเหล่านี้สับปะรดได้วันละ 200 บาท เมื่อนำมาฝึกก็คัดเลือกว่าคนไหนที่มีทักษะมากรีดยางและให้เขากรีดอย่างเดียว ส่วนคนที่ไม่มีฝีมือให้ทำงานเก็บน้ำยางและทำยางแผ่น ตอนบ่ายจัดการสวนยาง
“เพราะงานกรีดยางหาคนมีฝีมือยาก เราต้องให้เขากรีดยางโดยเฉพาะ ถ้ากรีดเก่งๆ ให้ 400 บาท/วัน ส่วนแรงงานเก็บและทำยางแผ่นวันละ 300 บาท 1 ครอบครัวก็ 700 บาท/วัน และเมื่อถึงวันที่น้ำยางมีปริมาณมากพอที่จะจ้างแรงงานถาวรเราก็ให้โอกาสเขาว่าจะทำระบบสัดส่วนหรือรายวัน”

ทำสวนยางให้ประสบความสำเร็จ เจ้าของสวนต้องลงมาลุยเอง
เจ้าของสวนต้องทำตัวเหมือนเจ้าของไร่สับปะรด” เจ้าของสวนยาง 250 ไร่ แนะนำ ก่อนจะขยายความหมาย ว่า เจ้าของสวนยางจะประสบความสำเร็จได้ต้องรู้วิธีการทุกอย่าง และต้องเป็นคนวางงานในสวนยาง
“เวลานี้เจ้าของสวนเหนื่อยท้อที่จะหาคนงานจึงใช้วิธีผูกมัดคนงาน ให้เขารับเหมาจัดการสวนยางไปเต็ม แต่แบ่งผลตอบแทนระบบสัดส่วน ขออย่างเดียวรู้ว่าได้กี่แผ่นเท่านั้นเอง ระบบนี้เป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงงานที่มากรีดยางให้เราเขาจะเก็บแต่ผลประโยชน์อย่างเดียว ไม่มีการบำรุงดูแลสวนยาง เพราะเราไม่ได้วางแผนงานให้เขา
“แต่ของผมมีคนงานที่เขาปลูกมากับมือ เห็นคุณค่าของต้นยาง เราจ้างเขาตั้งแต่ปลูกถึงตอนกรีดและเราก็สอนเขา เขาจะรักต้นยางมากกว่าคนงานที่มาจากที่อื่น และถ้าการบริหารจัดการไม่ดีไม่มีการแบ่งคนงานทำหน้าที่ ให้เขารับผิดชอบทั้งหมด กรีดยาง เก็บน้ำยาง ทำยางแผ่น เสร็จก็เหนื่อยไม่มีแรงจะไปดูแลจัดการสวนยาง เมื่อธรรมชาติไม่เติมสวนยางก็เสียหายเพราะไม่ได้ดูแล”
สวนยางในยุคแรกๆ ของพงศกร ต้องเผชิญกับอากาศแล้งจัดมาหลายช่วง แต่ก็ผ่านมันมาได้ ด้วยการลงทุนวางระบบน้ำ และพืชแซมอย่างสับปะรด เป็นทั้งรายได้เสริม พืชคลุมดินรักษาความชื้น และเมื่อหมดอายุก็ย่อยสลายกลางเป็นอาหาร

“ถ้าให้ประสบความสำเร็จเจ้าของสวนต้องเข้ามาควบคุมดูแลจัดการอย่างมีระบบ ไม่ใช้ให้คนงานรับผิดชอบทั้งหมด สุดท้ายผลผลิตไม่ดีเขาก็ย้ายสวน ยิ่งถ้าเจ้าของสวนก็ทำไม่เป็นก็จบ” พงศกรย้ำ

สรุปเทคนิคการสร้างสวนยางในพื้นที่แล้ง
            1. ก่อนปลูกตัดสินใจปลูกต้องพิจารณาความสมบูรณ์ของพื้นที่ว่ามากหรือน้อย และพอฟื้นฟูดินได้หรือไม่ โดยดูจากพืชหลักที่เคยปลูกเช่น สับปะรด เป็นต้น
            2. ต้องมีแหล่งน้ำ ในช่วงหน้าแล้ง “เราไม่ได้หวังว่าจะรถให้ชุ่มเหมือนฝนตก อาศัยแค่ประคองในช่วงที่แล้งจัดๆ หรือในช่วงที่เราต้องการความชื้นเพื่อให้ปุ๋ย เพื่อให้ต้นยางดูดปุ๋ยไปเลี้ยงต้นได้ หรือในช่วงเปิดกรีดแล้วเกิดแล้ว ปริมาณน้ำยางเริ่มลด ถ้าเราปล่อยไว้เดี๋ยวใบร่วง เราก็ต้องมีน้ำให้ช่วงนี้เพื่อรอฝนชุดใหม่ ปริมาณผลผลิตจะคงที่”
            น้ำยังช่วยให้ต้นยางแตกใบอ่อนก่อน สามารถเปิดกรีดได้ก่อน และยืดเวลาการกรีดจาก 8 เดือน เป็น 10 เดือน/ปีได้
3. หาเทคนิควิธีรักษาความชื้นในสวนยางให้นานที่สุด ทีเด็ดก็คือสับปะรด
           
ขอขอบคุณ
พงศกร ปัญญาสร้างสรรค์
 ต.ไร่เก่า อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ โทรศัพท์ 08-6168-3939


วางระบบน้ำแบบน้ำหยดในช่วงยางเล็ก

สภาพความสมบูรณ์ของดินในสวนยางของพงศกร ที่เกิดจาการดูแลเป็นอย่างดี โดยมีปุ๋ยพืชสดจากสับปะรดที่เกิดการย่อยสลาย ใส่ปุ๋ยคอก ดินจึ่งนุ่มรากฝอยยางเดินสะดวก ต้นยองของเขาจึงสมบูรณ์แม้อากาศจะแล้งก็ตาม

ภาพนี้เป็นเทคนิคการปลูกสับปะรดรุ่น 2 ในสวนยางอายุ 3-4 ปี จะเห็นว่าสับปะรดเป็นตัวรักษาความชื้นในดิน ขณะที่ซากสับปะรดก็ย่อยเป็นอินทรียวัตถุบำรุงดินและเป็นอาหารต้นยางไปในตัว


สวนยางบนเนื้อที่ 250 ไร่ อายุระหว่าง 4-7 ปี อดีตพื้นที่ตรงนี้คือ ไร่สับปะรดและขนุนตามลำดับ เจ้าของสวนบกว่ายางคือพืชตัวสุดท้ายของที่นี่ เพราะให้ผลผลิตสูงกว่าพืชทุกตัวที่เคยทำมา “ยางก็โลละ 50 บาทผมก็ยังอยู่ได้” พงศกรบอกอย่างนั้น

เครื่องยนต์สำหรับสูบน้ำจากบ่อพื้นที่ 10 ไร่ เพื่อนำไปใช้รดน้ำสวนยางในช่วงอากาศร้อน และฝนทิ้งช่วง 

ภาพสวนยางในช่วงที่เพิ่งปลูกยางใหม่ เขาบอกว่าถ้าลองปล่อยให้เป็นพื้นที่ว่างๆ อย่างนี้ ถ้าเจอภาวะแล้งยาวๆ มีหวังต้นยางไม่รอดแน่ ทางแก้ก็คือ ปลูกสับปะรดเป็นพืชคลุมดิน

บ่อน้ำขนาด 10 ไร่ มีน้ำตลอดทั้งปี 
จาก "ยางเศรษฐกิจ" ฉบับที่ 17 ประจำเดือนสิงหาคม 2555

ไม่มีความคิดเห็น

Random Posts

randomposts