์News

์News

ชาวสวนยาง อ.บ้านคา จ.ราชบุรี เปลี่ยนสับปะรด เป็นสวนยาง

_______________________________________________________
ส่วนหนึ่งของชาวสวนยางมือใหม่ของ อ.บ้านคา จ.ราชบุรี พวกเขาเริ่มต้นปลูกยางเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว บางรายจึงได้เก็บเกี่ยวผลผลิตนำไปขายสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ที่เหลือกำลังจะเปิดกรีดเร็วๆ นี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการรวมกลุ่มในอนาคต
ชาวสวนยาง อ.บ้านคา จ.ราชบุรี เปลี่ยนสับปะรด เป็นสวนยาง
        เตรียมตั้งกลุ่มรวมยาง
เรื่อง : พิมพ์ใจ พิสุทธิ์จริยานันท์

            ระยะทางจากห่างจากเมืองหลวงของประเทศ 162 กิโลเมตร ที่นี่คือ อ.บ้านคา จ.ราชบุรี พื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งใหม่ของสวนยางพาราใกล้กรุงแห่งหนึ่ง เกษตรกรที่เริ่มปลูกคือ “ชาวสวนยางมือใหม่” ทั้งสิ้น
ต้นทุนเพียงอย่างเดียวที่มีคือ ความเป็นเกษตรกรชาวไร่เท่านั้น
พืชเศรษฐกิจทำเงินเบอร์ 1 ยาวนานอย่างสับปะรด เกษตรกรที่นี่มีความช่ำชองเหมือนอยู่ในลมหายใจ
แต่สำหรับยางแล้ว คือ “คนแปลกหน้า”
แน่นอนว่าการปลูกยางจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล ความผิดพลาดจึงมากกว่าถูก
 เห็นได้จากเกษตรกรที่เริ่มต้นปลูกยางเมื่อปี 2547 ต้องเจอกับต้นยางตาย จนต้องปลูกซ่อมกันถึง 4 ครั้ง
            เพราะภัยแล้ง และขาดแคลนองค์ความรู้เรื่องการปลูกยาง เป็นต้น
สับปะรดเป็นทั้งเกราะป้องกันความแห้งแล้งให้กับสวนยาง
ขณะเดียวกันเมื่อมันหมดอายุจะย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยพืชสด
ให้กับต้นยาง ขณะเดียวกันผลผลิตของมันก็ช่วยทำเงิน
ให้กับเจ้าของสวนในห้วงยามที่ยางยังไม่มีผลผลิต
            วิชาเดียวที่สามารถรักษาชีวิตของสวนยางให้อยู่รอดจนสามารถเปิดกรีดได้เมื่อ 2 ปีที่แล้วคือ การปลูกพืชแซมยางด้วย “สับปะรด”
            พืชไร่ที่พวกเขามีความถนัดตัวนี้ เป็น “มิตร” กับต้นยางได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่น่าจะเป็น “ศัตรู” แย่งชิงอาหารมากกว่า
            แต่สับปะรดเป็นทั้งเกราะป้องกันความแห้งแล้ง และอาหารของต้นยางได้นานถึง 4 ปี
            สำคัญที่สุดคือมันเป็นเครื่องผลิตเงินให้กับเจ้าของสวนยางในห้วงยามที่ต้นยางยังไม่มีผลผลิต
             ชาว อ.บ้านคา เข้ามีวิธีการปลูก และดูแลสวนยางกันอย่างไร ติดตามได้บรรทัดถัดไป
           
กาญจนา ศิริจรรยาพงศ์ เป็นหนึ่งในเจ้าของสวนยางใน อ.บ้านคา เธอค่อยๆ สลัดตัวเองจากชาวไร่สับปะรด 100 ไร่ ด้วยการเปลี่ยนตัวเองเป็นชาวสวนปลูกยางเมื่อปี 2547
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนพืชปลูกคือ ภาวะราคาสับปะรดตกต่ำอย่างหนักในช่วงนั้น ทำให้เธอและครอบครัวต้องทบทวนอาชีพของตัวเอง
ก่อนจะได้ข้อมูลจากญาติที่ทำสวนยางอยู่ทางใต้ว่า ทำยางดีที่สุด...!!!
“เห็นทางใต้ทำกันแล้วรวย ก็อยากจะรวยอย่างเขาบ้าง” กาญจนาให้เหตุผลง่ายๆ ตามประสาของเกษตรกรที่อยากรวยด้วยกันทุกคน
            เธอจึงเริ่มศึกษาเรื่องการปลูกยางเบื้องต้นจากการถามญาติเป็นหลัก ส่วนพื้นที่สันนิษฐานเอาเองว่า น่าจะปลูกได้...???
 เพราะพื้นที่เป็นที่ราบเชิงเขา มีปัญหาภัยแล้งบ้างตามสภาพของพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม “แต่เราก็จะปลูกยางช่วงต้นฝน”
สวนยางอายุ 3-4 ปี ของกาญจนา ปลูกสับปะรดแซม
            กาญจนาเริ่มต้นปลูกยางพันธุ์ RRIM 600 ซึ่งนำมาจาก จ.ตรัง ต้นละ 13 บาท จำนวน 30 ไร่ ระยะปลูกยาง 7x3 เมตร
            เธอบอกว่าต้นยางปีแรกต้นยางก็โตใช้ได้ แม้จะไม่มีการให้น้ำเลย อาศัยฝนฟ้าตามฤดูกาลเท่านั้น แต่ก็ถูกไฟไหม้เสียหายไป 10 ไร่
หลังจากนั้น เธอปลูกเพิ่ม 2 แปลง อีกกว่า 70 ไร่ อายุ 7 ปี และ 3-4 ปี


ปลูกสับปะรดแซมสวนยางผลผลิตไร่ละ 2 ตัน
การปลูกพืชแซมสวนยางกาญจนาทำไปพร้อมๆ กับการปลูกยาง เธอบอกว่า พอวัดระยะปลูกเสร็จก็เอาหน่อสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียลงปลูกเลย หรือจะปลูกสับปะรดก่อนแล้วปลูกยางทีหลังก็ได้ แต่ต้องทำแนวปลูกยางไว้ก็ได้เช่นกัน
            การดูแลสวนยางในช่วงปีแรกๆ เธอยอมรับว่าต้องพึ่งใบบุญสับปะรดเป็นหลัก อาหารที่ต้นยางได้มาจากสับปะรดเป็นหลัก
“เวลาให้ปุ๋ยสับปะรดก็จะหว่านใส่ต้นยางด้วย” สูตรปุ๋ยหลักๆ ที่ใช้ใส่สับปะรด คือ 21-0-0 และ 15-15-15
            ก่อนที่เธอจะบอกข้อดีของการปลูกสับปะรดแซมสวนยางว่ายางจะโตดีกว่าปลูกยางอย่างเดียว
 “ถ้าปลูกยางอย่างเดียวไม่แซมสับปะรด ดูแลยาก บางแปลงที่ปลูกยางอย่างเดียว ต้นยางจะโตช้า แกร็นไม่โต แต่ถ้าปลูกสับปะรดหญ้าจะไม่ขึ้นเยอะมาก และสับปะรดยังเป็นตัวเก็บน้ำ เก็บความชื้นหน้าดินได้ในหน้าแล้ง ยางที่ปลูกสับปะรดต้นจึงโตไวกว่าไม่ปลูก”
            นอกจากนั้นแล้ว สับปะรดยังให้ผลผลิตประมาณ 2-4 ตัน/ไร่ ขึ้นอยู่ที่การดูแลของเจ้าของ ส่วนรายได้ขึ้นอยู่กับราคาในช่วงนั้น แต่ก็ถือว่ามีรายได้เพียงพอในช่วงที่ยางยังกรีดไม่ได้
            สับปะรดที่ปลูกแซมสวนยางจะอยู่ได้ถึง 4 ปี ต้นสับปะรดก็จะเริ่มโทรม ผลผลิตน้อย เพราะต้นยางก็เริ่มโตจนเงาบังต้นสับปะรด ถึงเวลานั้นก็แค่ไถปั่นต้นสับปะรดทิ้งให้เป็นปุ๋ยพืชสดในสวนยาง หรือไม่ฉีดปุ๋ย อามิ อามิ ให้ย่อยสลายกลายเป็นอินทรีย์บำรุงดินและเป็นอาหารสูตรอร่อยของต้นยาง
    นอกจากปุ๋ยเคมีที่ใส่ต้นยางเป็นหลักแล้ว ยังมีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ อย่าง ขี้ไก่แกลบ เพื่อบำรุงดิน และยังเป็นการลดต้นทุนในช่วงที่ปุ๋ยราคาแพงอีกด้วย
            เมื่อยางเข้าปีที่ 4 กาญจนาก็จึงดูแลสวนยางอย่างจริงจัง โดยการใส่ปุ๋ยตามเอกสารที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ
            แต่ปัญหาช่วงแรกๆ ที่เกิดขึ้นกับสวนยางคือ ต้นยางตายจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากภัยแล้ง การดูแลสับปะรดเป็นหลัก ต้นยางเป็นรอง และถูกตัวตุ่นกินทำลาย จนต้องปลูกซ่อมใหม่ถึง 3-4 ครั้ง ต้นยางบางต้นจึงต้นเล็ก โตไม่ทันต้นใหญ่     
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสวนยางของกาญจนาทั้งหมดน่าจะมาจากบ่อปัญหาเดียวคือ การไม่มีความรู้เรื่องการปลูกยางที่ดีพอ เพราะเธอต้องเรียนรู้และศึกษาตามประสบการณ์ของชาวไร่สับปะรดเป็นหลัก
จนเมื่อต้นยางอายุ 5 ปี จึงเริ่มมีเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอบ้านคา เข้ามาสำรวจ และพบว่ามีเกษตรกรจำนวนมากที่เริ่มปลูกยางจนใกล้ให้น้ำยาง จึงมีการจัดพาเกษตรกรไปอบรมดูงานที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช
             เมื่อต้นยางอายุ 7 ปี เธอจึงเริ่มต้นเปิดหน้ายางครั้งแรก เมื่อปลายปีที่ 53 โดยได้คนกรีดส่งมาจากภาคใต้ (แบ่งรายได้ 60 : 40) แบ่งหน้ากรีด 3 ส่วน กรีดวันเว้นวัน เพาะยางยังอายุน้อย
 เจ้าของสวนเล่าย้อนว่า “ช่วงแรกๆ ทำขี้ยางอยู่ 7 มีด ช่วงนั้นต้องรีบทำยางแผ่นเพราะราคายางสูงถึง 179 บาท/กก. ตอนนั้นดีใจมาก”
            ยางแผ่นที่ผลิตได้ถูกนำไปขายที่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่นั่นมีสหกรณ์ยางซื้อขายผ่านระบบประมูล (อ่านสกู๊ป ยาง 1,000 ล้าน/ปี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทองผาภูมิ ฉบับ 7/2554)
“ถ้าไม่ไปที่นั่นก็ต้องไปชุมพร แต่ตอนนี้ที่ สามร้อยยอดก็มีตลาดประมูลแล้ว”
   นอกจากปุ๋ยเคมีที่ใส่ต้นยางเป็นหลักแล้ว ยังมีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ อย่าง ขี้ไก่แกลบ
 เพื่อบำรุงดิน และยังเป็นการลดต้นทุนในช่วงที่ปุ๋ยราคาแพงอีกด้วย
           
            ขณะเดียวกันก็เริ่มมีเจ้าหน้าที่จากสำนักกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง จ.กาญจนบุรี เข้ามาดูพื้นที่และให้ความรู้ อย่างการอบรมกรีดยาง เป็นต้น
กาญจนาให้ข้อมูลว่า สวนยางแปลงแรกพื้นที่ 20 กว่าไร่ ถ้าน้ำยางออกดีๆ ทำยางแผ่นดิบได้ 30 แผ่น/วัน ขึ้นอยู่กับอากาศถ้าลมแรงก็ได้ต้องเพราะยางแห้งไว
            ส่วนการขนส่งยางไปทองผาภูมิแม้จะมีระยะทางกว่า 226 กิโลเมตร แต่อาศัยการรวมยางกับเกษตรกรในพื้นที่ อ.บ้านคา 3-4 รายขนขึ้นรถ 6 ล้อไปขายที่ทองผาภูมิ
“ครั้งล่าสุดรวมไปขายกันเกือบ 7 ตัน”
            อนาคตหากมีการเปิดกรีดยางของเกษตรกรในพื้นที่มากขึ้น จะมีการรวมกลุ่มกันรวบรวมยาง โดยปัจจุบัน สกย.กาญจนบุรี ได้เข้ามาเป็นพี่เลี้ยง ในฐานะที่ จ.ราชบุรีเป็นหนึ่งในพื้นที่รับผิดชอบ และได้รับการประกาศเป็นพื้นที่สงเสริมปลูกยาง
            “สกย.เขาบอกว่าถ้ารวมได้ปริมาณมากจะมีเจ้าหน้าที่มาซื้อถึงที่นี่ และจะมีการรวมกลุ่มกันรวมยาง”
            เมื่อถามถึงเรื่องรายได้ เจ้าของสวนยาง 100 ไร่ ปัจจุบันเปิดกรีดแล้วกว่า 30 ไร่ เผยว่า รายได้เป็นที่น่าพอใจ แม้จะบ่นอุบว่าปุ๋ยแพงไปสักนิด แต่ก็ถือว่าตอนนี้พออยู่ได้  
แต่ความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เธอสังเกตได้หลังในพื้นที่เริ่มมีการปลูกยาง และต้นยางเริ่มใหญ่ให้ผลผลิตคือ ปลูกยางฝนตกบ่อยขึ้น
            ณัฐกานต์ เย็นกาย เจ้าของสวนยาง 45 ไร่ ใน ต. โป่งกระทิง อ.บ้านคา ต้นยางอายุประมาณ 7 ปี แต่ต้นยางยังไม่พร้อมเปิดกรีด เพราะต้นยางยังใหญ่ไม่ได้ขนาด  
สวนยางพื้นที่ 30 ไร่ แปลงแรกของกาญจนา แต่ถูกไฟไหม้เสียหายไปกว่า 10 ไร่
ปัจจุบันเปิดกรีดได้แล้ว เธอบอกว่าสวนยางแปลงนี้เปิดกรีดต่ำไปหน่อย
 เนื่องจากตอนนั้นไม่มีความรู้เลย ซึ่งก็เป็นครูอย่างดีให้กับยางแปลงอื่นๆ
เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนก็ปลูกสับปะรดเป็นหลัก แต่เมื่อเห็นเพื่อนบ้านปลูกยาง ประกอบกับราคายางเริ่มสูง รัฐบาลส่งเสริมให้ปลูกในหลายพื้นที่ จึงปลูก
“ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่ดี” ณัฐกานต์ เชื่ออย่างนั้น  
           


          อรอนงค์  ศิริจรรยาพงศ์ .เจ้าของสวนยาง 50 ไร่ กรีดไปแล้ว 10 ไร่  ที่เหลือเป็นยางอายุ 3-4
            เธอบอกว่าปลูกยางที่บ้านคน น่าจะทำได้ดี เพราะเกษตรกรตัวอย่างที่เปิดกรีดมานาน ได้ผลดีเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว และรายได้ก็ยังดีกว่าการปลูกสับปะรด
            “ใหม่ๆ ก็ต้องเหนื่อยหน่อยกว่าจะได้น้ำยาง 7-8 ปี มีแต่ลงทุน และไม่มีเงินจากที่อื่นเลยเป็นเงินทุนตัวเองลงไป ตายก็ปลูกซ่อมใหม่ เมื่อก่อนอากาศร้อนไม่มีฝน แต่พอได้น้ำยางแล้วก็ชื่นใจ”
           
นาฏยา สุขสมัย มีสวนยาง 100 กว่าไร่ เปิดกรีดแล้ว 300 ต้น น้ำยางที่ได้นำมาผลิตเป็นยางแผ่นดิบนำไปขาย อ.ทองผาภูมิทุกๆ 1 เดือนครึ่ง  
ปีแรกเธอให้ข้อมูลว่าเปิดกรีดได้ 40 มีด กรีด 2 วันเว้น 1 วัน ได้ยางแผ่นดิบเกือบ 2,000 แผ่น  
            “อนาคตจะปลูกยางอย่างเดียว น่าจะดีตอนที่เราแก่ โครงการจะปลูกอีกเป็น 100 ไร่ แก่เราดูแลได้เพราะเราไม่ต้องทำเอง ยางได้เรื่อย รายได้ต่อเนื่อง”
ศุภสิทธิ์ ณ ถลาง เจ้าของสวนยาง 30 ไร่ อายุยางเข้าปีที่ 6  และยังมีสวนผลไม้สวนผสม เช่น ส้มโอ ขนุน มะม่วง กระท้อน มะขามเทศ ลำไย  40 ไร่ ผลไม้บางตัวสู้โรคแมลงไม่ได้ และปัญหาแรงงานก็โค่นทิ้ง อย่าง ลำไย และมะขามเทศ แล้วปลูกยางแทน
ส่วนแปลงที่ปลูก 30 ไร่ เดิมเป็นพืชไร่ ข้าวโพด แต่เปลี่ยนมาปลูกยาง
            “ทำยางน่าจะดีกว่า แรงงานไม่ต้องจ่ายเป็นรายวัน มีการแบ่งสัดส่วนเมื่อมีรายได้ การดูแลไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องห่อผล ค่าแรงงานก็สูง”




ไม่มีความคิดเห็น

Random Posts

randomposts