ชาวด่านช้าง สุพรรณบุรี แห่ปลูกยางหลายพันไร่
เร่งรวมกลุ่มรวบรวมยาง
เรื่อง : พิมพ์ใจ พิสุทธิ์จริยานันท์
ล้วน แซ่จิ้ว คือ “แกะดำ” ตัวหนึ่งในพื้นที่
อ.ด่านช้าง เมื่อ 25 ปีก่อน เพราะเขาดันไปนำเอาต้นยางจาก
จ.สุราษฎร์ธานี มาปลูกในพื้นที่ ต.องค์พระ
ติดกับ จ.กาญจนบุรี ขณะที่เกษตรกรในพื้นที่ล้วนทำพืชไร่ล้มลุก
อย่างมันสำปะหลัง ข้าวโพด และฝ้าย เป็นต้น
“ไอ้ล้วนเอ้ยมึงเอายางมาปลูกแถวนี้มันไม่มีน้ำยางหรอก”
ผู้ใหญ่บ้านพูดเชิงปรามาส ซึ่งเป็นคำบอกเล่าที่นายล้วนจำได้ขึ้นใจ
แต่ใครจะล่วงรู้ว่าห้วงขณะนั้นในหัวของนายล้วนคิดอะไรอยู่...???
“ผมทำพืชมาแล้วทุกตัว แต่ทำอะไรก็ไม่เคยถาวร
ทำข้าวโพด 10 ไร่ ได้กำไรปีละสองหมื่น ปลูกนุ่นหนอนก็กินต้นตายหมด
ขนุน มะม่วง ถึงหน้าขายราคาก็ร่วง คนซื้อก็ไม่มีต้องปล่อยเน่าคาต้น” นายล้วนพูดเพื่อฉายภาพอดีตอันขรุขระของอาชีพเกษตร
จนเมื่อเขาตัดสินใจปลูกยางในที่สุด
เพราะเป็นพืชที่เขาเคยทำมาช่วงวัยหนุ่มใน จ.สุราษฎร์ โดยอาศัยรับจ้างกรีดยาง ความรู้จึงพอจะมีติดตัวบ้าง
แต่การปลูกยางใน อ.ด่านช้าง มันเป็นคนละเรื่องกับการปลูกยางทางภาคใต้ ซึ่งนายล้วนก็เข้าใจความสำคัญนี้ดี
แต่เขาบอกว่านี่คือพืชความหวังสุดท้าย
“ผมนั่งรถลงไปสุราษฎร์ถอนเอาต้นกล้าจากโคนต้นยางมาพันกว่าต้น
แล้วใช้กระสอบป่านชุบน้ำห่อให้ต้นยางมันชุ่มชื้น กลับมาสุพรรณก็เอามาปลูก ตอนนั้นป่ายังสมบูรณ์อยู่
ได้น้ำฝนยางมันก็โตดี ต้นกล้ารอด ทีนี้ก็ลงกลับไปอีกทีเอากิ่งตายางพันธุ์ 600 มาติดตา”
เขาเล่าย้อนความยากลำบากในการปลูกยางต่างถิ่นอย่างเห็นภาพ
ระหว่างที่ปลูกยางนายล้วนก็ยังต้องทนกัดฟันทำพืชตัวอื่น
อย่างขนุนและมะม่วงไปพราง จนเมื่อครบอายุยางใกล้กรีดเขาจึงต้องหาแหล่งขายเพราะละแวกใกล้เคียง ไม่มีตลาดหรือร้านรับซื้อยางเลย
ก่อนจะได้ยินว่าเมืองกาญจน์มีตลาดรับซื้อยาง
“สมัยนั้นรถราก็ไม่มีต้องปั่นจักรยานไปขึ้นรถประจำทางไปเมืองกาญจน์
แต่ไม่เจอแหล่งซื้อ แต่มีคนแนะนำให้ไปลาดหญ้าก็ไม่เจอ จนไปเจอร้านรับซื้อเล็กๆ ที่ท่าพะเนียดแต่เขาซื้อไม่เยอะ
เขาบอกต้องไปทองผาภูมิจึงเจอแหล่งซื้อเป็นสหกรณ์”
จ.กาญจนบุรี มีการทำสวนยางมาค่อนข้างนาน มีการรวมกลุ่มในรูปของสหกรณ์ รวบรวมยางเพื่อประมูล
ซึ่งเป็นตลาดที่ใกล้สวนของนายล้วนมากที่สุด แต่ระยะทางรวมไปกลับก็กว่า 400 กิโล (อ่าน ยาง 1,000 ล้านบาท/ปี พืชเศรษฐกิจขับเคลื่อนทองผาภูมิ ยางเศรษฐกิจ ฉบับที่ 7)
อาชีพสวนยางของนายล้วนในยุคบุกเบิกจึงค่อนข้างทุรกันดาร
เพราะต้องขนยางไปขายทองผาภูมิเดือนละ 1 ครั้ง “ตอนหลังมีสวนใกล้ๆ เขาปลูกหลังผม 2 ปี ก็รวมยางกันไปขาย
2 เจ้ารวมกัน ประมาณเดือนละตันกว่าๆ ราคากิโลละแค่ 18 บาท”
แต่ก็เป็นพืชที่ “แกะดำ” แห่งด่านช้าง บอกว่าไม่เสี่ยงและลำบากเท่ากับการทำพืชตัวอื่น
“ใครเขาก็ว่าผมบ้า”
เขายังจำความรู้สึกนี้ได้ดี
แต่ช่วงระหว่างปี
47-48 เกษตรกรใน อ.ด่านช้าง หลายราย กลับมาขอสมัครเป็น "คนบ้า" อย่างนายล้วน
ครรชิต แฝงแย้ เจ้าของสวนยางใน ต.องค์พระ
จ.สุพรรณบุรี
พ่อตาของเขาเป็นผู้ปลูกยางจำนวน 50 ไร่ เมื่อ 23 ปีก่อน
และทยอยปลูกเพิ่มจนปัจจุบันมียาง 100 ไร่
ได้ยางแผ่นเดือนละ 2 ตัน และขนไปขายที่ทองผาภูมิ
|
แน่นอนว่าสวนยางขนาด
20 ไร่ ของนายล้วนย่อมจะเป็น “ห้องเรียน”
ของชาวสวนยางในพื้นที่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี และใกล้เคียง
“ผมแนะนำผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งเขานำที่ดินไปจำนองเอาเงินมาปลูกยาง
เขาถามผมว่าพี่มันได้แน่นะ ผมถือไพ่ใบสุดท้ายแล้ว ผมบอกมันจะเป็นใบสุดท้ายหรืออะไรให้คว่ำไว้ก่อน
ไม่ต้องไปดูมัน มีข้อเดียวคือทำยางให้เป็นสวน อย่าให้ไฟไหม้ ถ้าไฟไม่ไหม้ 7
ปี เปิดไพ่มาป๊อก 21 แน่นอน พอเขาเปิดกรีดปีที่
2 ยางกิโลละ 190 บาท ทำยาง 40 ไร่ ที่ดินจำนองไว้ได้หมดเลย พลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้” นายล้วนเล่าเปรียบเทียบพร้อมกับเผยข้อมูลว่า
ปัจจุบันพื้นที่ ต.องค์พระ และ ต.วังยาว อ.ด่านช้าง
เท่าที่เคยเก็บข้อมูลมีชาวสวนยาง 64 ราย 2,000 กว่าไร่ ยังไม่นับพื้นที่ทั้งอำเภอและอำเภอใกล้เคียงยังมีปลูกอีกมหาศาล
สวนยางพันธุ์ 600 ในภาพนี้
เป็นของเจ้าของธุรกิจรับซื้อสับปะรด
และส่วนหนึ่งก็มีไร่สับปะรด แต่เมื่อ 3-4 ปีก่อน
ไปเห็นตัวอย่างสวนยางที่ อ.บ้านไร่
ก่อนจะหันมาปลูกตามหลายร้อยไร่
|
ข้อมูลด้านปริมาณน้ำยางเขาเผยว่าช่วงเดือนพฤษภาคมน้ำยางค่อนข้างน้อยเพราะเป็นช่วงหน้าร้อน
ช่วงที่น้ำยางสูงที่สุด คือ ตั้งแต่ตุลาคมเป็นต้นไปน้ำยางจะมากขึ้น 1-2 เท่าตัว แต่ข้อดีของการกรีดยางในพื้นที่ คือ มีวันกรีดมากกว่า
“ถ้าไม่แล้งกรีดได้ถึง
6 เดือน แต่ถ้าแล้งก็ได้แค่ 5 เดือน”
ด้านตลาดซื้อขายยางหลังจากที่มีการก่อตั้งสหกรณ์กองทุนสวนยางใน
อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ชาวสวนยาง อ.ด่านช้าง ส่วนหนึ่งก็นำยางไปขายที่นั่นเพราะระยะทางใกล้กว่าทองผาภูมิเพียงแค่ไป-กลับ 100 กิโล เท่านั้น “เสียค่าบริการและขนส่ง
กก.ละ 2 บาท แต่ก็ยังดีกว่า”
แต่เมื่อเดือนธันวาคม ปี
2554 นายล้วนและสหกรณ์การเกษตรด่านช้าง จำกัด ทำการเปิดตลาดรวบรวมยางในพื้นที่
อ.ด่านช้าง และใกล้เคียง เพราะวิเคราะห์แล้วว่าเกษตรกรหันมาปลูกยางเพิ่มมากขึ้น
สหกรณ์การเกษตรด่านช้างมีสมาชิก
1,900 ราย มีธุรกิจหลัก คือ ให้สินเชื่อ จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและผลิตน้ำดื่มธุรกิจใหม่ของสหกรณ์
คือ รวบรวมยาง
“เราเห็นว่าอนาคตปริมาณยางจะเพิ่มมากขึ้นเพราะเกษตรกรจะเปิดกรีดเยอะขึ้น
การที่เราเปิดรวบรวมยางจะเป็นการช่วยเหลือสมาชิกไม่ต้องเดินทางไปขายยางไกล วันนี้เขาต้องไปบ้านไร่
ไปทองผาภูมิ” นพดล เอมบัณฑิตย์ ประธานสหกรณ์เปิดเผย
แต่ก็ยอมรับว่าปริมาณการรวบรวมยางยังน้อยเพียงครั้งละ
3-5 ตัน/ครั้ง เท่านั้น และยังต้องนำไปฝากขายกับสหกรณ์กองทุนสวนยางปฏิรูปที่ดินน้ำดีใน
อ.บ้านไร่ อยู่ด้วยเพราะปริมาณยางยังน้อยนั่นเอง
“ใหม่ๆ เราต้องยอมไม่มีกำไรหรืออาจจะขาดทุนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่สมาชิก
แต่คาดว่าอีก 2-3 ปี ยางจะเปิดกรีดได้เยอะขึ้นเพราะตอนนี้ยางของเกษตรกรส่วนใหญ่อายุ
3-4 ปี”
อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องปริมาณยางไม่ใช่ตัวหลักของสหกรณ์ฯ
ด่านช้าง แต่กลับเป็นเรื่องการคัดคุณภาพยาง เพราะยังไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือให้ความรู้
แต่ก็แก้ปัญหาด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ไปดูงานที่สหกรณ์ฯ น้ำดี
“บางครั้งเรายังไม่ถนัด
บางทีเราเห็นว่ายางควรเป็นเกรดนี้แต่พอไปขายเขาให้อีกเกรดหนึ่งเราก็ขาดทุนแล้ว”
นพดล สะท้อนปัญหา
จะเห็นได้ทันทีว่าเหตุที่
จ.สุพรรณบุรี ไม่อยู่ในเขตส่งเสริมปลูกยางของกรมวิชาการเกษตร
จึงไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบเข้ามาดูแลและให้ความรู้เรื่องการปลูกยางอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะด้านการตลาด
เป็นต้น
“แต่เรากำลังจะเปิดให้สมาชิกที่มีสวนยางมาลงทะเบียนผู้ปลูกยางที่สหกรณ์
เพื่อนำข้อมูลไปเสนอให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือให้ความรู้ และถ้าเป็นไปได้ก็เรื่องการลงทุนเพราะยางเป็นพืชตัวใหม่ของที่นี่ลงทุนสูง
ถ้ามีหน่วยงาน เช่น สกย. ช่วยเหลือกล้ายาง เงินทุน และตลาด ก็จะเป็นผลดีแก่สมาชิก"
ในมุมนี้นายล้วนให้ข้อมูลตรงกันว่าการปลูกยางตอนนี้ยังขาดการส่งเสริมและช่วยเหลือจากรัฐ
ยังอาศัย “ทุนใครทุนมัน” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพื้นที่สุพรรณบุรีไม่เหมาะสมแก่การปลูกยางในสายตาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“ถ้าที่ผมปลูกยางไม่ได้
อีสานก็ปลูกยางไม่ได้ เพราะที่นี่ดีกว่าอีสานเยอะ”
ตัวอย่างสวนยางของนายล้วนเขาบอกว่าน้ำยางออกได้ดีแม้อายุยางจะอายุ
25 ปี แต่ยังให้น้ำยางได้เป็นปกติ “ถ้าเราไม่ทำร้ายต้นยาง
เร่งน้ำยางเกิน กรีดบ่อย กรีดดี ไม่เข้าเนื้อ แบ่งหน้ายาง 3 หน้า
อาจจะกรีดได้ 3 รอบ หรือ 45 ปี และยังกรีดยางหน้าสูงได้อีก”
แม้พื้นที่จะยังถูก “ล่ามโซ่” จากหน่วยงานราชการ แต่เกษตรกรก็แห่ปลูกยางกันจำนวนมากแล้ว
โดยไม่นำเรื่องดังกล่าวมาเป็นอุปสรรคให้ตัวเองเลย
“ผมไปแนะนำให้มีการปลูกยาง
เขาบอกจะเอาพันธุ์ที่ไหนปลูก เอาทุนที่ไหน รัฐบาลเขาช่วยไหม ผมพูดเลยถ้ารอรัฐบาลป่านนี้ผมก็คงไม่ได้กรีดยาง
ไม่ต้องรอ เรามีเท่าไหร่ เราพึ่งตัวเอง ถ้ารอ อดตาย ถ้ากลัวไม่ได้ผลให้มาดูที่ผม”
นายล้วนเกษตรกรผู้ปลูกยางยุคบุกเบิกของ จ.สุพรรณบุรี
กล้ายืนยันอย่างนั้น
ขอขอบคุณ
ล้วน แซ่จิ้ว
505 หมู่ 8 ต.องค์พระ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
โทรศัพท์ 08-6172-4763
นพดล เอมบัณฑิตย์
สหกรณ์การเกษตรด่านช้าง
จำกัด
1078 หมู่ 5 ถ.ด่านช้าง-สามชุก อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
โทรศัพท์ 08-1192-8683,
0-3559-5230
ไม่มีความคิดเห็น