สป. เปิดเวทีเตรียมความพร้อมด้านมาตรการเชิงรุก-เชิงรับ สำหรับสินค้าเกษตร (ยางพารา) เพื่อเตรียมพร้อมนำเสนอครม.เข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC)
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจมหภาค
การเงินการคลัง
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังจากกการเป็นประธานจัดงาน การสัมมนา มาตรการเชิงรุก-เชิงรับ สำหรับสินค้าเกษตร
(ยางพารา)เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี ๒๕๕๘
โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมให้เกียรติในการเปิด
เมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕เวลา ๑๐.๑๕ – ๑๑.๐๐ น.ณ
ห้องประชุม ๑ ชั้น ๓ สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่า ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย
และเป็นผู้ผลิตส่งออกอันดับหนึ่งของโลก ตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ ทำรายได้เข้าประเทศประมาณ ๖๗๘,000
ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่มีผู้มีความรู้
ความชำนาญในการผลิตยางพารา มีประชาชนเกี่ยวข้องกับยางพาราไม่น้อยกว่า ๖ ล้านคน
ดังนั้น
การใดๆ
ที่มีผลกระทบต่อการผลิตการค้ายางพาราย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศ
และประชาชนจำนวนมาก คณะทำงานเศรษฐกิจมหภาค การเงิน การคลัง
เห็นถึงความสำคัญของสินค้ายางพาราทั้งระบบการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
จึงได้ยกประเด็นมาศึกษานโยบายเกี่ยวกับมาตรการเชิงรุก-เชิงรับสำหรับสินค้าเกษตร
(ยางพารา) เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic
Community: AEC) ในปี ๒๕๕๘
ทั้งนี้การจัดสัมมนาดังกล่าวได้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ นำเสนอการศึกษา
วิเคราะห์ผลกระทบและมาตรการในการดำเนินการ รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างให้เกิดความตระหนัก
ตื่นตัวในการเตรียมพร้อมเพื่อกำหนดมาตรการในการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเป็นการสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างเกษตรกรผู้ประกอบการยาง
อุตสาหกรรมยาง ผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการในการจัดสัมมนา ซึ่งคาดว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการสัมมนาในครั้งนี้ คือ
นอกจากผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลจากการศึกษาและสามารถนำไปประกอบการวางแผนเพื่อรองรับผล กระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และรับทราบผลกระทบที่เกิดจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อสินค้าเกษตรยางพาราว่ามีความได้เปรียบในการแข่งขันเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร
รวมทั้งได้แนวทางและมาตรการในการปรับตัวเพื่อให้ภาคการเกษตรไทยสามารถดำรงสถานภาพการแข่งขันได้ไม่น้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว ภาคการเกษตรของไทยได้รับประโยชน์จากการค้าสินค้าเกษตรยางพารากับประเทศต่างๆ
ในประชาคมอาเซียนเพิ่มขึ้น
และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสินค้าเกษตรยางพาราไทยในเวทีการค้าโลก
เมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเริ่มมีบทบาทอย่างเต็มที่ในปี ๒๕๕๘
อีกด้วย
ทั้งนี้จากการที่อาเซียนก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพฯ
(Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๐
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค
ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพและความมั่นคงปลอดภัยทางการเมือง
สร้างสรรค์ความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรม
การกินดีอยู่ดี บนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน
ปัจจุบันอาเซียนประกอบด้วยประเทศสมาชิก ๑๐ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม
สหราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สหพันธรัฐมาเลเซีย
สหภาพพม่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ราชอาณาจักรไทย
และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
จากที่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปมากทั้งในด้านการเมือง
เศรษฐกิจและสังคม ทำให้อาเซียนต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ มากมาย เช่น โรคระบาด
การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ พิบัติภัยธรรมชาติ เช่น สึนามิ ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ภาวะโลกร้อน ความเสี่ยงที่อาเซียนอาจจะไม่สามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่นๆโดยเฉพาะจีนและอินเดีย
ซึ่งมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด เป็นต้น
อาเซียนจึงต้องปรับตัวเพื่อให้รับมือกับสิ่งต่างๆ
เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นให้ได้ ประกอบกับ เดือนตุลาคม ๒๕๔๖ ผู้นำอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน
ที่เรียกว่า ข้อตกลงบาหลี ๒ เห็นชอบให้จัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEN
Community) คือ
การให้อาเซียนรวมตัวเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภายในปี ๒๕๖๓
และต่อมาในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 12 ณ ประเทศฟิลิปปินส์
ผู้นำประเทศอาเซียนตกลงที่จะเร่งรัดกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียนให้แล้วเสร็จภายในปี
๒๕๕๘ โดยจะเป็นประชาคมที่ประกอบด้วย ๓ เสาหลักซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันคือ ๑ ประชาคมความมั่นคงอาเซียน ๒ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และ ๓ ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
อุทัย สอนหลักทรัพย์ |
“ในมุมมองของผมคิดว่า ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเป็นประชาคมอาเซียนมากน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว
กล่าวคือหากประเทศไทยสามารถปรับทันได้ก่อน
เรียนรู้ที่จะใช้โอกาสจากสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ก่อน ย่อมสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศของเรา
ในทางกลับกันหากเรายังไม่ทราบ หรือไม่รู้และไม่พร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อเราอย่างหลีกหนีไม่พ้น
โดยที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรม
หากไม่มีการศึกษาวิเคราะห์เพื่อกำหนดมาตรการในการพัฒนาด้านการเกษตรที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
เราอาจเป็นฝ่ายเสียประโยชน์จากการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน เมื่อได้เห็นถึงปัญหาด้านการเกษตรซึ่งอาจจะเสียเปรียบจึงได้นำมาตรการเชิงรุก
เชิงรับเพื่อนำเสนอการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อสินค้าเกษตร(ยางพารา)
เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพาราเป็นอันดับ1ของโลกมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ มีพื้นที่ปลูกยางพารา
ประมาณ ๑๗ ล้านไร่ ได้ผลผลิต ๓.๓ ล้านตันต่อปี ทำรายได้เข้าสู่ประเทศปีละ ๖๗๘,๐๐๐
ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสินค้าเกษตรที่ทำรายได้เป็นอันดับ
๑ จึงนับว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
จึงควรที่จะเร่งหามาตรการเชิงรุก-เชิงรับดังกล่าว”
ไม่มีความคิดเห็น