์News

์News

ตะลุยสวนยางบนเกาะ...ที่เกาะช้าง เกษตรกรปลูกยาง PB 235 แทน RRIM 600

ตะลุยสวนยางบนเกาะ...ที่เกาะช้าง เกษตรกรปลูกยาง PB 235 แทน RRIM 600



เรื่อง : พิมพ์ใจ พิสุทธิ์จริยานันท์

            มาตะลุยสวนยาง จ.ตราด ทั้งที จะไม่แอบไปเที่ยวเกาะช้าง สถานที่ท่องเที่ยวเบอร์ 1 ของจังหวัดสุดท้ายของภาคตะวันออกถือเป็นการเสียโอกาสอย่างยิ่ง เอาไปคุยกับใครก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามา จ.ตราด
            ผมจึงแอบขโมยเวลา 1 คืน 1 วัน กอบโกยความสุขจากที่นั่น ประมาณว่าพักผ่อนระหว่างการทำงานไปในตัว
            แม้ “ตัว” อยากจะพักผ่อน แต่ “หัว” มันกลับไม่ยอม...!!!
            ก็เมื่อหัวสมองมันกลับฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า “เกาะช้างเขาปลูกยางกันหรือเปล่านะ...???”
            สุดท้ายทั้ง “หัว” และ “ตัว” ของผมก็พร้อมใจกันพาไปหาข้อมูลจนได้
...สุดท้ายก็อดพักผ่อนเลย...!!!
ข้อมูลตัวเลขจาก สกย.จ.ตราด สำรวจจากภาพถ่ายดาวเทียว SPOT 5 เมื่อปี 2551 ระบุว่าเกาะช้างมีพื้นที่ปลูกยางรวม5,554 ไร่ แบ่งเป็นยางอายุ 1-6 ปี 339 ไร่ ยางอายุ 6 ปีขึ้นไป หรือยางเปิดกรีดแล้ว 5,215 ไร่
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรอำเภอเกาะช้างระบุว่า เกาะที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศแห่งนี้มีเนื้อที่ปลูกยางใน 2 ตำบล รวม 8,430 ไร่ แบ่งเป็น ต.เกาะช้าง 270 ราย 3,760 ไร่ ต.เกาะช้างใต้ มีเกษตร 219 ราย พื้นที่ 4,680 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นยางเปิดกรีดแล้ว
ตัวเลขดังกล่าวฟังแล้วไม่อยากเชื่อว่าเกาะที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนของเกาะช้างจะมีพื้นที่ปลูกยางรวมมากกว่า 8,000 ไร่ และที่สำคัญมีการปลูกกันมานานหลายสิบปีแล้ว เกษตรกรบางรายโค่นยางปลูกใหม่ไปแล้วถึง 2 รอบ
นพเดช วัย 45 ปี ชายฉกรรจ์ลูกเกาะช้างโดยกำเนิด 
เขาบอกเกิดมาก็เห็นต้นยางแล้ว สวนยางของเขาจึงโค่งปลูกใหม่แล้ว 2 ครั้ง 
ตั้งแต่รุ่นพ่อ จนมาสู่รุ่นเขาก็ยังปลูกยาง แล้วอย่างนี้เขาเรียกว่ายั่งยืนหรือไม่...???

“ผมเกิดมาก็เห็นสวนยางแล้ว” นพเดช สิงห์วิรัตน์ ชาวเกาะช้างโดยกำเนิดให้ข้อมูล ปัจจุบันอายุอานามของเขากว่า 45 ปีแล้ว ก็น่าจะพอคาดเดาได้ไม่ยากว่ายางพาราได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังเกาะแห่งนี้นานมากโขแล้ว
“ผมจำไม้ได้หรอกว่าใครปลูก มันเป็นยางป่าผสมกับสวนทุเรียน อาจจะเป็นรุ่นพ่อผม เพราะเมื่อปี 2526 ขอทุนสงเคราะห์ปลูกยางใหม่จาก สกย.ไป 10 ไร่ จนเมื่อปีที่แล้วมันหมดเปลือกก็ขอทุนสงเคราะห์ปลูกใหม่ไปอีกรอบหนึ่ง” นพเดชให้ข้อมูลเพิ่มอีก
เท่ากับว่าการปลูกยางครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้วน่าจะเป็นสวนยางรุ่นที่ 3 ของครอบครัวเขาแล้ว
นพเดชนึกย้อนให้ฟังว่า ช่วงแรกๆ ที่ทำยางส่วนใหญ่กรีดแล้วเก็บน้ำยางนำมาทำยางแผ่นดิบเป็นหลัก เมื่อได้ปริมาณก็ขนขึ้นเรือไปขายบนฝั่ง เป็นอยู่อย่างนี้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของชาวสวนยางเกาะช้าง ซึ่งเป็นอาชีพหลักสำคัญของคนบนเกาะนี้
ครั้งหนึ่งเคยจะมีการรวมกลุ่มเพื่อรับงบประมาณสร้างโรงงานรมควันบนเกาะช้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โครงการ เพราะความที่อยู่บนเกาะ การรวมกลุ่มจึงไม่เกิดขึ้น เกษตรกรต่างๆ คนต่างขาย ระยะหลังมีพ่อค้าเร่เข้ามาซื้อยางประจำถึงสวน
สวนยางพันธุ์ PB 235 เป็นพันธุ์ที่นพเดชเลือกปลูกแทนพันธุ์ RRIM600 ที่เขาบอกว่าอ่อนแอต่อโรคมาก เพราะจากยาง 700 ต้น เมื่อยางหมดอายุเหลือต้นยางเพียง 400 ต้นเท่านั้น เขาบอกว่ามันค่อยๆ ตายไปเรื่อยๆ แต่ยางพันธุ์ใหม่ที่เขาปลูกต้านทางโรคดี โตไว แม้น้ำยางจะน้อยในช่วง 10 ปีแรก แต่หลังจากนั้นน้ำยางจะสูง เฉลี่ยมากกว่าพันธุ์ 600 “ยางพันธุ์ 235 ต้นมันจะใหญ่มาก เนื้อไม้จะเยอะ ผมคิดต่อจนว่ายางทุกประเทศมีแต่คนปลูก อนาคตคิดว่าถ้าราคายางตกต่ำ ตัดต้นขายไม้น่าจะคุ้มค่า” 

ยางพันธุ์ RRIM 600 ไม่เหมาะสมกับเกาะช้าง เลือกปลูกพันธุ์ PB 235
เมื่อลองถามถึงพันธุ์ยางที่ปลูกกันบนเกาะช้าง คำตอบก็คือ RRIM 600  พันธุ์ยอดนิยมของประเทศไทย แต่ด้วยความที่ปลูกยางพันธุ์นี้มาเป็นเวลานาน จึงทำให้นพเดชเห็นปัญหา และจุดอ่อนของยางพันธุ์นี้ เขาบอกว่ามันเป็นพันธุ์อ่อนแอ เมื่อต้นยางเริ่มแก่มันจะค่อยๆ ตายไปเรื่อยๆ จนยางหมดเปลือกต้องโค่น สวนยาง 10 ไร่เหลือต้นยางเพียง 400 กว่าต้นเท่านั้น จาก 700 ต้น 
ก่อนที่เขาจะสรุปว่ามันเป็นพันธุ์ที่ต้านทานโรคไม่ดี เพราะบนเกาะช้างปริมาณฝนและความชื้นค่อนข้างสูง (ปริมาณน้ำฝนปี 3,829.9 มิลลิเมตร ข้อมูลปี2554) ทำให้เป็นโรคง่าย โดยเฉพาะโรคใบร่วง เชื้อรา เปลือกเน่า และ โคนเน่า เป็นต้น
“ผมว่ามันเป็นพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกบนเกาะช้าง”
ด้วยเหตุนี้การปลูกยางรอบใหม่เมื่อปีที่แล้วเขาจึงเลือกที่จะไม่ปลูกพันธุ์ RRIM 600 อีกต่อไป แต่เลือกปลูกพันธุ์ PB 235 แทน
สวนยางพันธุ์ 600 เนื้อที่ 10 กว่าไร่ ของน้องชายนพเดช อายุประมาณ 5 ปี แต่จะเห็นได้ว่าต้นยางเล็กมาก เมื่อเทียบกับการปลูกทั่วไป และปริมาณน้ำฝนสูงๆ อย่างเกาะช้าง แต่เจ้าของคิดว่าถ้าปลูกแน่น ชิดๆ จำนวนต้นมากน้ำยางก็น่าจะมาก แต่เป็นอย่างที่เห็นต้นยางสูงชะลูด และต้นเล็ก ไม่สามารถเปิดกรีดได้ 
แม้ยางพันธุ์นี้จะมีข้อจำกัดเรื่องปริมาณน้ำยางน้อยในช่วงอายุต่ำกว่า 10 ปีแรก แต่เมื่ออายุ 10 ปีขึ้นไปจะให้น้ำยางดีต่อเนื่อง เฉลี่ย 329 กิโลกรัม/ไร่/ปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ถึง 27% ที่สำคัญมีความต้ายทานโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่นใบร่วง และเปลือกเน่า เปลือกแห้ง เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นยางพันธุ์ที่เจริญเติบโตดีเยี่ยม สามารถเปิดกรีดได้เร็ว และปลูกได้ดีในพื้นที่ลาดชันอย่างเกาะช้าง
“ยางพันธุ์ 235 ต้นมันจะใหญ่มาก เนื้อไม้จะเยอะ ผมคิดต่อจนว่ายางทุกประเทศมีแต่คนปลูก อนาคตคิดว่าถ้าราคายางตกต่ำ ตัดต้นขายไม้น่าจะคุ้มค่า”
สวนยางพันธุ์ RRIM600 อายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี 

ทำสวนยาง น้ำยางคือดอกเบี้ย ไม้ยางคือเงินฝาก
ข้อมูลการปลูกยาง 10 ไร่ ของนพเดช เขาเลือกปลูกไร่ละ 76 ต้น ระยะ 6x3.5 เมตร ตามที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ อีกทั้งยางพันธุ์ PB 235 มีทรงพุ่มใหญ่ การปลูกระยะห่างระหว่างต้นจึงต้องมากกว่า 3 เมตร ซึ่งคาดว่ายางแปลงปลูกใหม่ของเขาน่าจะเปิดกรีดไปในอีก 4 ปีข้างหน้า
ผมถามย้อนไปถึงการขอเงินสงเคราะห์ปลูกยางใหม่เมื่อปีที่แล้ว เจ้าของสวนให้ข้อมูลว่าได้เงินสงเคราะห์จาก สกย.ไร่ละ 11,000 บาท ซึ่งเป็นระบบเก่า ปัจจุบัน 17,000 บาท/ไร่แล้ว
“ได้ไร่ละ 11,000 ไม่พอกับการลงทุนปลูกใหม่หรอก พันธุ์ยางเขาให้ต้นทุนต้นละ 18 บาท แต่ยางปีที่แล้ว 40-50 บาท แต่เราก็อย่าไปคิดอะไรมากมายเพราะลงทุนปลูกไปแล้วก็ยังเป็นของเราอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ให้เงินเราก็ต้องลงทุนปลูกเองอยู่ดี แต่นี่ดีที่เขาช่วยเราไม่ต้องลงทุนมาก ถือว่าเป็นอาชีพที่ดี เพราะหลังจากเราได้น้ำยางแล้ว เมื่อหมดอายุยังขายไม้ได้อีก”
สวนยางปลูกใหม่อยู่ริมถนนฝั่งตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นฝั่งที่มีการปลูกยางมากที่สุด สภาพพื้นที่ไม่ต้องพูดถึงเพราะเกาะช้างมีแต่ภูเขาทั้งเกาะจึงต้องปลูกกับตามที่ลาดชันและเนินเขา เป็นต้น

ว่ากันว่าการปลูกยางก็เหมือนนำเงินไปฝากธนาคาร ได้น้ำยางเป็น “ดอกเบี้ย” ส่วนไม้ยางเป็น “เงินฝาก” ที่สามารถเบิกถอนคืนได้เมื่อต้นยางหมดอายุ ซึ่งสวนยาง 400 ต้นของนพเดชขายไม้ได้ไป 300,000 กว่าบาท
เขาเพิ่มเติมว่า สมัยตอนโค่นยางครั้งแรกเมื่อปี 2526 ตอนนั้นโค่นต้นยางแล้วก็ต้องเผาทิ้งหมด ขายไม่ได้ เพราะสมัยนั้น เรือเฟอร์รี่ แพ ขนไม้ไปขายบนฝั่งยังไม่มี ก็ต้องเผาทิ้ง เพราะไปมีที่ขาย แต่ปัจจุบันมีพ่อค้ามาประเมินมูลค่าไม้ยางถึงสวน ก่อนจะตัด และนำรถมาขนถึงสวน
“ตอนแรกเขาให้เราเสนอราคาก่อน ถ้าคนไม่รู้ราคาขายถูกก็เสียไป แต่เราต้องรู้ว่าราคาไม้ที่อื่นเท่าไหร่ และคำนวณความยากง่ายในการตัด การขนย้าย และสภาพต้นยาง เรื่องอย่างนี้เราต้องรู้ ไม่อย่างนั้นก็ถูกเอาเปรียบ”
ใครกล้าท้าฝนกรีดยางในช่วงฝนตก หรือกรีดแล้วฝนตกก็จะเป็นอย่างนี้ 
น้ำยางหายละลายไปกับน้ำฝน ขณะที่แผลที่กรีดเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราสูง
 ซึ่งเป็น “หัวเชื้อ” ของสารพัดโรคที่จะทำลายต้นยางในระยะยาว


พฤติกรรมเกษตรกรเปลี่ยน เลือกผลิตยางก้อนถ้วยเกือบ 100%
การเปลี่ยนแปลงของการทำสวนยางบนเกาะช้างที่นพเดชสะท้อนคือ พฤติกรรมการแปรรูปน้ำยางสดเป็นยางแผ่นดิบเริ่มน้อยลง เพราะระยะหลังเกษตรกรเปลี่ยนมาทำยางก้อนถ้วยกันเกือบ 100% จนเกือบจะสูญพันธุ์
ปัจจัยหลักมาจากช่วงหลายปีที่ผ่านมายางราคายางดีดตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัว เกษตรกรส่วนใหญ่ซึ่งไม่ใช่เจ้าของสวนจึงเลือกที่จะทำยางก้อนถ้วย ทำง่าย ใช้เวลาน้อย สะดวก งานเบากว่าการทำยางแผ่นดิบ
เพราะต้องยอมรับว่าแรงงานทำสวนยางส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า และการทำสวนยางอาศัยความสะดวกของแรงงานเป็นหลัก ประกอบกับสภาพพื้นที่ปลูกเป็นที่ราบเชิงเขา การจัดการจึงค่อนข้างยาก ด้วยเหตุนี้การแบ่งผลประโยชน์ระหว่างเจ้าของสวนและแรงงานจึงแบ่งสูง 50 : 50
แม้จะรู้ดีว่าราคายางก้อนถ้วยจะถูกกว่ายางแผ่นดิบ แต่เมื่อราคายางสูง เกษตรกรส่วนใหญ่จึงมองว่ายังได้เงินเยอะกว่าอดีตอยู่ดี การทำยางถ้วยจึงระบาดเช่นนี้แล และไม่ใช่เฉพาะสวนยางของนพเดชเท่านั้นที่ทำยางก้อนถ้วย แต่ทำกันทั้งเกาะ
“การขายก็ขายให้กับพ่อค้าเร่ในเกาะช้าง เขาจะตระเวนไปตามสวนต่างๆ เพื่อซื้อยางแล้วขนไปส่งตามร้านบนฝั่ง”
สวนผลไม้ที่ขึ้นชื่อของเกาะช้าง คือ ทุเรียน เป็นต้น แต่ไหนแต่ไรมาแล้วเจ้าของสวนผลไม้ก็มักจะปลูกยางแซมไว้ในสวน  และด้วยราคาของยางและผลไม้ที่เดินสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง สวนผลไม้จึงถูกยึดด้วยสวนยาง แต่ภาพสวนผสมระหว่างยางกับทุเรียนก็ยังมีให้เห็นในปัจจุบัน

 ยางพารา พืชเศรษฐกิจอันดับ 1 ของเกาะช้าง
“ตอนนี้สวนยางน่าจะมีการปลูกอันดับหนึ่งบนเกาะช้าง สวนผลไม้ มะพร้าวในอดีต ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสวนยางหมดแล้ว มะพร้าวต้นนี้ไม่มีใครเก็บเพราะราคาถูกลูกละ 3-4 บาท” นพเดชคนเกาะช้างโดยกำเนิดให้ข้อมูลจากการคำนวณโดยสายตาอย่างนั้น ซึ่งในความคิดของเขาสวนยางคือพืชเศรษฐกิจที่ดีที่สุดขณะนี้ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับพืชตัวอื่นยังเทียบกันไม่ติด แม้จะมีพื้นที่ปลูกยางน้อยเพียงแค่ 10 ไร่ และยังจ้างแรงงานทำก็ตาม แต่เขาบอกว่าถ้ารู้จักใช้ก็อยู่ได้อย่างสบาย
“พื้นที่ 10 ไร่ กรีดแบบแบ่ง 50:50 ถ้ายางราคา 100 บาท ก็น่าจะอยู่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับรวย ทั้งที่จริงๆ แล้วเราต้องแบ่งเงินน้อยกว่านี้ แต่สวนยางบนเกาะช้างเป็นที่เชิงเขา เขาทำงานยากจึงต้องแบ่งสูงหน่อย แต่เจ้าของสวนไม่ต้องทำเองให้มอญตัด แต่เงินก็เหลือน้อย ถ้าใช้จ่ายเยอะก็ไม่พอ”
แม้ว่าปริมาณฝนตกชุกขนเกาะช้างจะเป็นผลดีต่อสวนยาง ปริมาณน้ำยางจึงค่อนข้างสูง แต่ในขณะเดียวกัน ฝนที่ตกเยอะจนเกิดไปก็ทำให้กรีดยางไม่ได้เช่นกัน “หน้าฝนเกษตรกรส่วนใหญ่ก็ไม่กรีดยาง ไปทำประมงกัน พักหน้ายางเลย”
มะพร้าวเคยเป็นพืชสำคัญตัวหนึ่งของเกาะช้าง แต่ค่อยหดหายไปเพราะสวนผลไม้และยางพารา จนปัจจุบันสวนมะพร้าวแทบหาได้ยาก เจ้าของสวนปล่อยทิ้งเพราะราคาตกต่ำ ไม่คุ่มค่ากับค่าแรงเก็บ

ประเด็นหนึ่งที่น่าจะมีคนถามถึงกันมาก คือเรื่องของ “ที่ดิน” บนเกาะช้างที่เกษตรกรปลูก รุกและรังแกป่าหรือไม่ นพเดชยอมรับว่าสวนยางและที่ดินทำกินของเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีโฉนด แต่ก็ไม่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแต่อย่างใด แต่เป็นที่ดีที่จัดสรรเพื่อทำการเกษตร แต่เขาก็ไม่วายพูดเหน็บเรื่องนี้ว่า “เขตอุทยานประกาศทีหลัง มาถึงก็ตีเส้นกันบนโต๊ะ บางคนอยู่มาเป็นร้อยปี ปรากฏว่าบ้านเขาอุทยานอยู่ทับบ้านเขาเลย อุทยานมาตอน 2525 สมัยนั้นไม่มีใครคัดค้าน ตัวอำเภอก็อยู่ไกล อยู่บนฝั่งแหลมงอบ สมัยนั้นเกาะช้างเป็นตำบลขึ้นกับ อ.แหลมงอบ”
ปริมาณฝนเป็น “จุดแข็ง” ของเกาะช้าง เพราะมันช่วยให้ต้นยางเจริญเติบโตดี 5 ปีก็เปิดกรีดได้ และน้ำยางยังสูง แต่ขณะเดียวปริมาณฝนที่มากจนเกิดไปก็เป็น "จุดอ่อน” ของพื้นที่เช่นกัน ก็เมื่อฝนตกก็กรีดยางไม่ได้ รายได้ก็ขาดหาย เขาฤดูฝนสวนยางจึงแทบจะปิดหน้ายางกันเลยทีเดียว

แม้พื้นที่เกาะใหญ่อันดับ 3 ของประเทศอย่างเกาะช้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเทือกเขาสูง แต่ก็ยังพอมีพื้นที่มากกว่า 8,000 ไร่ เป็นสวนยาง และเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีพื้นที่มากที่สุด และน่าจะมีมูลค่ามากที่สุดของเกาะช้าง จนอาจจะพูดได้ว่าถ้าไม่รวมเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของเกาะช้าง ยางพาราน่าจะเป็นพืชสร้างรายได้อันดับ 1 ของเกาะช้าง
ต้นยางป่าขนาดใหญ่ 2 คนโอบ น่าจะเป็นยางรุ่นแรกๆ ที่มีการปลูกบนเกาะช้าง




ขอขอบคุณ
นพเดช สิงห์วิรัตน์
ต.เกาะช้าง อ.เกาะช้าง จ.ตราด โทรศัพท์ 08-1863-9764









เรื่อง : พิมพ์ใจ พิสุทธิ์จริยานันท์

            มาตะลุยสวนยาง จ.ตราด ทั้งที จะไม่แอบไปเที่ยวเกาะช้าง สถานที่ท่องเที่ยวเบอร์ 1 ของจังหวัดสุดท้ายของภาคตะวันออกถือเป็นการเสียโอกาสอย่างยิ่ง เอาไปคุยกับใครก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามา จ.ตราด
            ผมจึงแอบขโมยเวลา 1 คืน 1 วัน กอบโกยความสุขจากที่นั่น ประมาณว่าพักผ่อนระหว่างการทำงานไปในตัว
            แม้ “ตัว” อยากจะพักผ่อน แต่ “หัว” มันกลับไม่ยอม...!!!
            ก็เมื่อหัวสมองมันกลับฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า “เกาะช้างเขาปลูกยางกันหรือเปล่านะ...???”
            สุดท้ายทั้ง “หัว” และ “ตัว” ของผมก็พร้อมใจกันพาไปหาข้อมูลจนได้
...สุดท้ายก็อดพักผ่อนเลย...!!!
ข้อมูลตัวเลขจาก สกย.จ.ตราด สำรวจจากภาพถ่ายดาวเทียว SPOT 5 เมื่อปี 2551 ระบุว่าเกาะช้างมีพื้นที่ปลูกยางรวม5,554 ไร่ แบ่งเป็นยางอายุ 1-6 ปี 339 ไร่ ยางอายุ 6 ปีขึ้นไป หรือยางเปิดกรีดแล้ว 5,215 ไร่
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรอำเภอเกาะช้างระบุว่า เกาะที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศแห่งนี้มีเนื้อที่ปลูกยางใน 2 ตำบล รวม 8,430 ไร่ แบ่งเป็น ต.เกาะช้าง 270 ราย 3,760 ไร่ ต.เกาะช้างใต้ มีเกษตร 219 ราย พื้นที่ 4,680 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นยางเปิดกรีดแล้ว
ตัวเลขดังกล่าวฟังแล้วไม่อยากเชื่อว่าเกาะที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนของเกาะช้างจะมีพื้นที่ปลูกยางรวมมากกว่า 8,000 ไร่ และที่สำคัญมีการปลูกกันมานานหลายสิบปีแล้ว เกษตรกรบางรายโค่นยางปลูกใหม่ไปแล้วถึง 2 รอบ
นพเดช วัย 45 ปี ชายฉกรรจ์ลูกเกาะช้างโดยกำเนิด 
เขาบอกเกิดมาก็เห็นต้นยางแล้ว สวนยางของเขาจึงโค่งปลูกใหม่แล้ว 2 ครั้ง 
ตั้งแต่รุ่นพ่อ จนมาสู่รุ่นเขาก็ยังปลูกยาง แล้วอย่างนี้เขาเรียกว่ายั่งยืนหรือไม่...???

“ผมเกิดมาก็เห็นสวนยางแล้ว” นพเดช สิงห์วิรัตน์ ชาวเกาะช้างโดยกำเนิดให้ข้อมูล ปัจจุบันอายุอานามของเขากว่า 45 ปีแล้ว ก็น่าจะพอคาดเดาได้ไม่ยากว่ายางพาราได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังเกาะแห่งนี้นานมากโขแล้ว
“ผมจำไม้ได้หรอกว่าใครปลูก มันเป็นยางป่าผสมกับสวนทุเรียน อาจจะเป็นรุ่นพ่อผม เพราะเมื่อปี 2526 ขอทุนสงเคราะห์ปลูกยางใหม่จาก สกย.ไป 10 ไร่ จนเมื่อปีที่แล้วมันหมดเปลือกก็ขอทุนสงเคราะห์ปลูกใหม่ไปอีกรอบหนึ่ง” นพเดชให้ข้อมูลเพิ่มอีก
เท่ากับว่าการปลูกยางครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้วน่าจะเป็นสวนยางรุ่นที่ 3 ของครอบครัวเขาแล้ว
นพเดชนึกย้อนให้ฟังว่า ช่วงแรกๆ ที่ทำยางส่วนใหญ่กรีดแล้วเก็บน้ำยางนำมาทำยางแผ่นดิบเป็นหลัก เมื่อได้ปริมาณก็ขนขึ้นเรือไปขายบนฝั่ง เป็นอยู่อย่างนี้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของชาวสวนยางเกาะช้าง ซึ่งเป็นอาชีพหลักสำคัญของคนบนเกาะนี้
ครั้งหนึ่งเคยจะมีการรวมกลุ่มเพื่อรับงบประมาณสร้างโรงงานรมควันบนเกาะช้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โครงการ เพราะความที่อยู่บนเกาะ การรวมกลุ่มจึงไม่เกิดขึ้น เกษตรกรต่างๆ คนต่างขาย ระยะหลังมีพ่อค้าเร่เข้ามาซื้อยางประจำถึงสวน
สวนยางพันธุ์ PB 235 เป็นพันธุ์ที่นพเดชเลือกปลูกแทนพันธุ์ RRIM600 ที่เขาบอกว่าอ่อนแอต่อโรคมาก เพราะจากยาง 700 ต้น เมื่อยางหมดอายุเหลือต้นยางเพียง 400 ต้นเท่านั้น เขาบอกว่ามันค่อยๆ ตายไปเรื่อยๆ แต่ยางพันธุ์ใหม่ที่เขาปลูกต้านทางโรคดี โตไว แม้น้ำยางจะน้อยในช่วง 10 ปีแรก แต่หลังจากนั้นน้ำยางจะสูง เฉลี่ยมากกว่าพันธุ์ 600 “ยางพันธุ์ 235 ต้นมันจะใหญ่มาก เนื้อไม้จะเยอะ ผมคิดต่อจนว่ายางทุกประเทศมีแต่คนปลูก อนาคตคิดว่าถ้าราคายางตกต่ำ ตัดต้นขายไม้น่าจะคุ้มค่า” 

ยางพันธุ์ RRIM 600 ไม่เหมาะสมกับเกาะช้าง เลือกปลูกพันธุ์ PB 235
เมื่อลองถามถึงพันธุ์ยางที่ปลูกกันบนเกาะช้าง คำตอบก็คือ RRIM 600  พันธุ์ยอดนิยมของประเทศไทย แต่ด้วยความที่ปลูกยางพันธุ์นี้มาเป็นเวลานาน จึงทำให้นพเดชเห็นปัญหา และจุดอ่อนของยางพันธุ์นี้ เขาบอกว่ามันเป็นพันธุ์อ่อนแอ เมื่อต้นยางเริ่มแก่มันจะค่อยๆ ตายไปเรื่อยๆ จนยางหมดเปลือกต้องโค่น สวนยาง 10 ไร่เหลือต้นยางเพียง 400 กว่าต้นเท่านั้น จาก 700 ต้น 
ก่อนที่เขาจะสรุปว่ามันเป็นพันธุ์ที่ต้านทานโรคไม่ดี เพราะบนเกาะช้างปริมาณฝนและความชื้นค่อนข้างสูง (ปริมาณน้ำฝนปี 3,829.9 มิลลิเมตร ข้อมูลปี2554) ทำให้เป็นโรคง่าย โดยเฉพาะโรคใบร่วง เชื้อรา เปลือกเน่า และ โคนเน่า เป็นต้น
“ผมว่ามันเป็นพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกบนเกาะช้าง”
ด้วยเหตุนี้การปลูกยางรอบใหม่เมื่อปีที่แล้วเขาจึงเลือกที่จะไม่ปลูกพันธุ์ RRIM 600 อีกต่อไป แต่เลือกปลูกพันธุ์ PB 235 แทน
สวนยางพันธุ์ 600 เนื้อที่ 10 กว่าไร่ ของน้องชายนพเดช อายุประมาณ 5 ปี แต่จะเห็นได้ว่าต้นยางเล็กมาก เมื่อเทียบกับการปลูกทั่วไป และปริมาณน้ำฝนสูงๆ อย่างเกาะช้าง แต่เจ้าของคิดว่าถ้าปลูกแน่น ชิดๆ จำนวนต้นมากน้ำยางก็น่าจะมาก แต่เป็นอย่างที่เห็นต้นยางสูงชะลูด และต้นเล็ก ไม่สามารถเปิดกรีดได้ 
แม้ยางพันธุ์นี้จะมีข้อจำกัดเรื่องปริมาณน้ำยางน้อยในช่วงอายุต่ำกว่า 10 ปีแรก แต่เมื่ออายุ 10 ปีขึ้นไปจะให้น้ำยางดีต่อเนื่อง เฉลี่ย 329 กิโลกรัม/ไร่/ปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ถึง 27% ที่สำคัญมีความต้ายทานโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่นใบร่วง และเปลือกเน่า เปลือกแห้ง เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นยางพันธุ์ที่เจริญเติบโตดีเยี่ยม สามารถเปิดกรีดได้เร็ว และปลูกได้ดีในพื้นที่ลาดชันอย่างเกาะช้าง
“ยางพันธุ์ 235 ต้นมันจะใหญ่มาก เนื้อไม้จะเยอะ ผมคิดต่อจนว่ายางทุกประเทศมีแต่คนปลูก อนาคตคิดว่าถ้าราคายางตกต่ำ ตัดต้นขายไม้น่าจะคุ้มค่า”
สวนยางพันธุ์ RRIM600 อายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี 

ทำสวนยาง น้ำยางคือดอกเบี้ย ไม้ยางคือเงินฝาก
ข้อมูลการปลูกยาง 10 ไร่ ของนพเดช เขาเลือกปลูกไร่ละ 76 ต้น ระยะ 6x3.5 เมตร ตามที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ อีกทั้งยางพันธุ์ PB 235 มีทรงพุ่มใหญ่ การปลูกระยะห่างระหว่างต้นจึงต้องมากกว่า 3 เมตร ซึ่งคาดว่ายางแปลงปลูกใหม่ของเขาน่าจะเปิดกรีดไปในอีก 4 ปีข้างหน้า
ผมถามย้อนไปถึงการขอเงินสงเคราะห์ปลูกยางใหม่เมื่อปีที่แล้ว เจ้าของสวนให้ข้อมูลว่าได้เงินสงเคราะห์จาก สกย.ไร่ละ 11,000 บาท ซึ่งเป็นระบบเก่า ปัจจุบัน 17,000 บาท/ไร่แล้ว
“ได้ไร่ละ 11,000 ไม่พอกับการลงทุนปลูกใหม่หรอก พันธุ์ยางเขาให้ต้นทุนต้นละ 18 บาท แต่ยางปีที่แล้ว 40-50 บาท แต่เราก็อย่าไปคิดอะไรมากมายเพราะลงทุนปลูกไปแล้วก็ยังเป็นของเราอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ให้เงินเราก็ต้องลงทุนปลูกเองอยู่ดี แต่นี่ดีที่เขาช่วยเราไม่ต้องลงทุนมาก ถือว่าเป็นอาชีพที่ดี เพราะหลังจากเราได้น้ำยางแล้ว เมื่อหมดอายุยังขายไม้ได้อีก”
สวนยางปลูกใหม่อยู่ริมถนนฝั่งตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นฝั่งที่มีการปลูกยางมากที่สุด สภาพพื้นที่ไม่ต้องพูดถึงเพราะเกาะช้างมีแต่ภูเขาทั้งเกาะจึงต้องปลูกกับตามที่ลาดชันและเนินเขา เป็นต้น

ว่ากันว่าการปลูกยางก็เหมือนนำเงินไปฝากธนาคาร ได้น้ำยางเป็น “ดอกเบี้ย” ส่วนไม้ยางเป็น “เงินฝาก” ที่สามารถเบิกถอนคืนได้เมื่อต้นยางหมดอายุ ซึ่งสวนยาง 400 ต้นของนพเดชขายไม้ได้ไป 300,000 กว่าบาท
เขาเพิ่มเติมว่า สมัยตอนโค่นยางครั้งแรกเมื่อปี 2526 ตอนนั้นโค่นต้นยางแล้วก็ต้องเผาทิ้งหมด ขายไม่ได้ เพราะสมัยนั้น เรือเฟอร์รี่ แพ ขนไม้ไปขายบนฝั่งยังไม่มี ก็ต้องเผาทิ้ง เพราะไปมีที่ขาย แต่ปัจจุบันมีพ่อค้ามาประเมินมูลค่าไม้ยางถึงสวน ก่อนจะตัด และนำรถมาขนถึงสวน
“ตอนแรกเขาให้เราเสนอราคาก่อน ถ้าคนไม่รู้ราคาขายถูกก็เสียไป แต่เราต้องรู้ว่าราคาไม้ที่อื่นเท่าไหร่ และคำนวณความยากง่ายในการตัด การขนย้าย และสภาพต้นยาง เรื่องอย่างนี้เราต้องรู้ ไม่อย่างนั้นก็ถูกเอาเปรียบ”
ใครกล้าท้าฝนกรีดยางในช่วงฝนตก หรือกรีดแล้วฝนตกก็จะเป็นอย่างนี้ 
น้ำยางหายละลายไปกับน้ำฝน ขณะที่แผลที่กรีดเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราสูง
 ซึ่งเป็น “หัวเชื้อ” ของสารพัดโรคที่จะทำลายต้นยางในระยะยาว


พฤติกรรมเกษตรกรเปลี่ยน เลือกผลิตยางก้อนถ้วยเกือบ 100%
การเปลี่ยนแปลงของการทำสวนยางบนเกาะช้างที่นพเดชสะท้อนคือ พฤติกรรมการแปรรูปน้ำยางสดเป็นยางแผ่นดิบเริ่มน้อยลง เพราะระยะหลังเกษตรกรเปลี่ยนมาทำยางก้อนถ้วยกันเกือบ 100% จนเกือบจะสูญพันธุ์
ปัจจัยหลักมาจากช่วงหลายปีที่ผ่านมายางราคายางดีดตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัว เกษตรกรส่วนใหญ่ซึ่งไม่ใช่เจ้าของสวนจึงเลือกที่จะทำยางก้อนถ้วย ทำง่าย ใช้เวลาน้อย สะดวก งานเบากว่าการทำยางแผ่นดิบ
เพราะต้องยอมรับว่าแรงงานทำสวนยางส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า และการทำสวนยางอาศัยความสะดวกของแรงงานเป็นหลัก ประกอบกับสภาพพื้นที่ปลูกเป็นที่ราบเชิงเขา การจัดการจึงค่อนข้างยาก ด้วยเหตุนี้การแบ่งผลประโยชน์ระหว่างเจ้าของสวนและแรงงานจึงแบ่งสูง 50 : 50
แม้จะรู้ดีว่าราคายางก้อนถ้วยจะถูกกว่ายางแผ่นดิบ แต่เมื่อราคายางสูง เกษตรกรส่วนใหญ่จึงมองว่ายังได้เงินเยอะกว่าอดีตอยู่ดี การทำยางถ้วยจึงระบาดเช่นนี้แล และไม่ใช่เฉพาะสวนยางของนพเดชเท่านั้นที่ทำยางก้อนถ้วย แต่ทำกันทั้งเกาะ
“การขายก็ขายให้กับพ่อค้าเร่ในเกาะช้าง เขาจะตระเวนไปตามสวนต่างๆ เพื่อซื้อยางแล้วขนไปส่งตามร้านบนฝั่ง”
สวนผลไม้ที่ขึ้นชื่อของเกาะช้าง คือ ทุเรียน เป็นต้น แต่ไหนแต่ไรมาแล้วเจ้าของสวนผลไม้ก็มักจะปลูกยางแซมไว้ในสวน  และด้วยราคาของยางและผลไม้ที่เดินสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง สวนผลไม้จึงถูกยึดด้วยสวนยาง แต่ภาพสวนผสมระหว่างยางกับทุเรียนก็ยังมีให้เห็นในปัจจุบัน

 ยางพารา พืชเศรษฐกิจอันดับ 1 ของเกาะช้าง
“ตอนนี้สวนยางน่าจะมีการปลูกอันดับหนึ่งบนเกาะช้าง สวนผลไม้ มะพร้าวในอดีต ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสวนยางหมดแล้ว มะพร้าวต้นนี้ไม่มีใครเก็บเพราะราคาถูกลูกละ 3-4 บาท” นพเดชคนเกาะช้างโดยกำเนิดให้ข้อมูลจากการคำนวณโดยสายตาอย่างนั้น ซึ่งในความคิดของเขาสวนยางคือพืชเศรษฐกิจที่ดีที่สุดขณะนี้ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับพืชตัวอื่นยังเทียบกันไม่ติด แม้จะมีพื้นที่ปลูกยางน้อยเพียงแค่ 10 ไร่ และยังจ้างแรงงานทำก็ตาม แต่เขาบอกว่าถ้ารู้จักใช้ก็อยู่ได้อย่างสบาย
“พื้นที่ 10 ไร่ กรีดแบบแบ่ง 50:50 ถ้ายางราคา 100 บาท ก็น่าจะอยู่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับรวย ทั้งที่จริงๆ แล้วเราต้องแบ่งเงินน้อยกว่านี้ แต่สวนยางบนเกาะช้างเป็นที่เชิงเขา เขาทำงานยากจึงต้องแบ่งสูงหน่อย แต่เจ้าของสวนไม่ต้องทำเองให้มอญตัด แต่เงินก็เหลือน้อย ถ้าใช้จ่ายเยอะก็ไม่พอ”
แม้ว่าปริมาณฝนตกชุกขนเกาะช้างจะเป็นผลดีต่อสวนยาง ปริมาณน้ำยางจึงค่อนข้างสูง แต่ในขณะเดียวกัน ฝนที่ตกเยอะจนเกิดไปก็ทำให้กรีดยางไม่ได้เช่นกัน “หน้าฝนเกษตรกรส่วนใหญ่ก็ไม่กรีดยาง ไปทำประมงกัน พักหน้ายางเลย”
มะพร้าวเคยเป็นพืชสำคัญตัวหนึ่งของเกาะช้าง แต่ค่อยหดหายไปเพราะสวนผลไม้และยางพารา จนปัจจุบันสวนมะพร้าวแทบหาได้ยาก เจ้าของสวนปล่อยทิ้งเพราะราคาตกต่ำ ไม่คุ่มค่ากับค่าแรงเก็บ

ประเด็นหนึ่งที่น่าจะมีคนถามถึงกันมาก คือเรื่องของ “ที่ดิน” บนเกาะช้างที่เกษตรกรปลูก รุกและรังแกป่าหรือไม่ นพเดชยอมรับว่าสวนยางและที่ดินทำกินของเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีโฉนด แต่ก็ไม่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแต่อย่างใด แต่เป็นที่ดีที่จัดสรรเพื่อทำการเกษตร แต่เขาก็ไม่วายพูดเหน็บเรื่องนี้ว่า “เขตอุทยานประกาศทีหลัง มาถึงก็ตีเส้นกันบนโต๊ะ บางคนอยู่มาเป็นร้อยปี ปรากฏว่าบ้านเขาอุทยานอยู่ทับบ้านเขาเลย อุทยานมาตอน 2525 สมัยนั้นไม่มีใครคัดค้าน ตัวอำเภอก็อยู่ไกล อยู่บนฝั่งแหลมงอบ สมัยนั้นเกาะช้างเป็นตำบลขึ้นกับ อ.แหลมงอบ”
ปริมาณฝนเป็น “จุดแข็ง” ของเกาะช้าง เพราะมันช่วยให้ต้นยางเจริญเติบโตดี 5 ปีก็เปิดกรีดได้ และน้ำยางยังสูง แต่ขณะเดียวปริมาณฝนที่มากจนเกิดไปก็เป็น "จุดอ่อน” ของพื้นที่เช่นกัน ก็เมื่อฝนตกก็กรีดยางไม่ได้ รายได้ก็ขาดหาย เขาฤดูฝนสวนยางจึงแทบจะปิดหน้ายางกันเลยทีเดียว

แม้พื้นที่เกาะใหญ่อันดับ 3 ของประเทศอย่างเกาะช้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเทือกเขาสูง แต่ก็ยังพอมีพื้นที่มากกว่า 8,000 ไร่ เป็นสวนยาง และเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีพื้นที่มากที่สุด และน่าจะมีมูลค่ามากที่สุดของเกาะช้าง จนอาจจะพูดได้ว่าถ้าไม่รวมเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของเกาะช้าง ยางพาราน่าจะเป็นพืชสร้างรายได้อันดับ 1 ของเกาะช้าง
ต้นยางป่าขนาดใหญ่ 2 คนโอบ น่าจะเป็นยางรุ่นแรกๆ ที่มีการปลูกบนเกาะช้าง




ขอขอบคุณ
นพเดช สิงห์วิรัตน์
ต.เกาะช้าง อ.เกาะช้าง จ.ตราด โทรศัพท์ 08-1863-9764







เที่ยวเมืองตรัง ย้อนรอยอดีตยางพาราไทย ชมต้นยางเก่าแก่แห่งใหม่กลางเมือง

เที่ยวเมืองตรัง ย้อนรอยอดีตยางพาราไทย ชมต้นยางเก่าแก่แห่งใหม่กลางเมือง

เรื่อง  :  พิมพ์ใจ พิสุทธิ์จริยานันท์
 (นิตยสารยางเศรษฐกิจ ประจำเดือนตุลาคม 2555)
ต้นยางพารารุ่นเดียวกับยางต้นแรกที่หลงเหลืออยู่ ณ สวนกะพังสุรินทร์ อายุน่าจะเป็นร้อยปี มีอยู่ในสวนแห่งนี้ประมาณ 15 ต้น 
คาอุท์ชุค (Caoutchouc) แปลเป็นไทยว่า “ต้นไม้ร้องไห้” เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองบริเวณลุ่นน้ำอเมซอน แห่งทวีปอเมริกาใต้ เรียกต้นยางพารา ซึ่ง ณ ที่แห่งนั้นคือ “ต้นกำเนิด” ของยางพารา
เท็จจริงไม่รู้ แต่ผู้เขียนสันนิษฐานว่าของเหลวสีขาวข้นคลักที่ไหลออกมาจากเปลือกยางพารา คือที่มาของคำเรียกต้นไม้ร้องไห้ ก่อนที่ภายหลัง “น้ำตา” จากต้นยาง ในปี 2313 มีการคิดค้นนำมาใช้เป็น “ยางลบ” สำหรับลบรอยดินสอโดยไม่ทำให้กระดาษเสียหาย  โดย โจเซฟ พริลลี่
53 ปี ต่อมา ชาล์ล แมกกินตอซ คิดค้นนำมาผลิตเสื้อกันฝนจำหน่ายในสก็อตแลนด์เป็นครั้งแรก   จากนั้นใน ปี พ.. 2389 โทมัส แฮนค็อค ประดิษฐ์ยางตันสำหรับรถม้าทรงของพระนางเจ้าวิคตอเรีย ซึ่งนั่นเป็นที่มาของการประดิษฐ์ล้อรถยนต์ได้สำเร็จในปี พ.. 2438 เป็นการก้าวเข้าสู่ยุคการขนส่งการคมนาคมสมัยใหม่  และนำมาสู่อุตสาหกรรมยางทีมีบทบาทต่อมนุษย์โลกอย่างปัจจุบัน
สำหรับไทย ประเทศที่ยิ่งใหญ่ ของโลก ด้านอุตสาหกรรมยางระดับ “ต้นน้ำ” ผลิตและส่งออกยางอันดับ 1 ของโลก หรือมากกว่า 3.5 ล้านตัน/ปี หากย้อนรอยประวัติศาสตร์ก็นำต้นยางเข้ามาปลูกในเมืองไทยมีการสันนิษฐานว่าเริ่มเข้ามาในปี 2442-2444 หรือเมื่อ  113  ปีผ่านมาแล้ว โดยการนำเมล็ดยางพารามาปลูกใน อ.กันตัง จ.ตรัง โดย คอซิมบี้ ณ ระนอง หรือ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี หรือ พระยาเทษาภิบาลมณฑลภูเก็ต ตำแหน่งในขณะนั้น ชาวบ้านสมัยนั้นเรียกต้นไม้ต้นนี้ว่า “ต้นยางเทษา”
พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี หรือ  คอซิมบี้ ณ ระนอง 
ผู้นำยางพาราต้นแรกเข้ามาปลูกในประเทศไทย 
ก่อนจะได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งยางพาราไทย
ปี 2444 พระยารัษฎาฯ ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกยางพาราทดแทนการทำเหมืองแร่ดีบุก นับจากนั้นต้นยางจึงได้ถูกขยายพันธุ์และกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และทั่ว 14 จังหวัดภาคใต้
 ภายหลังปี 2454 หลวงราชไมตรี หรือ ปูม ปุณศรี นำพันธุ์มาปลูกใน จ.จันทบุรี จากนั้นกระจายไปทั่วประเทศกว่า 18 ล้านไร่เยี่ยงปัจจุบัน
กลายเป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งในรูปของวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ทุกชนิดมูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท/ปี
จากมูลค่ายาง 7 แสนล้าน และเป้ารัฐบาลปัจจุบันโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของประเทศนี้จะผลักดันให้มูลค่ายางพาราสูงถึง 1 ล้านล้านบาทในปีหน้า ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าทำได้ไม่ยากหากหันไปให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์
จากเป้าอนาคตที่มีแนวโน้มเป็นจริง ผู้เขียนหวนกลับไปคิดถึงจุดเริ่มต้นของต้นยางพาราในเมืองไทย ซึ่งข้อมูลที่รู้กันดีว่ายางต้นแรก อยู่ใน อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งน่าจะมีอายุมากกว่า 100 ปี คำถามคือ ร่องรอยของต้นยางยุคแรกๆ นอกจากยางต้นแรกที่ถูกนำมาชูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวฉิ่งฉับทัวร์ถ่ายรูป มากกว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ของมัน หลงเหลืออยู่เพียงต้นเดียวจริงหรือ...???
ลุงขำ นุชิตศิริภัทรา

“ต้นยางพาราต้นใหญ่กว่าต้นยางต้นแรกที่กันตัง มีอยู่หลายแห่งใน จ.ตรัง ไม่ใช่มีต้นนั้นต้นเดียว มันสูงใหญ่และสมบูรณ์กว่าอีก เขาสนใจแต่ต้นยางต้นแรกที่อุปโลกน์ขึ้น แต่มันยังมีอยู่อีกแต่ไม่มีใครสนใจ”
นายขำ นุชิตศิริภัทรา หรือ “ลุงขำ” ที่คนในอาชีพสวนยางรู้จักกันดี เขาคือคนตรัง ประกอบอาชีพสวนยางมามากกว่าครึ่งชีวิต มากแค่ไหนนะหรือ อายุ 73 ปี ของลุงขำ คือคำตอบ...!!!
ด้วยความที่เป็นคนตรัง และยังทำสวนยางบนผืนแผ่นดินที่เป็นต้นกำเนิดของยางพาราไทย การอนุรักษ์และหวงแหนในคุณค่าของต้นยางจึงมีค่อนข้างสูงกว่าคนในจังหวัดอื่น
“ต้นยางต้นแรกตอนนี้มันไม่มีใครดูแล หักโค่น จนเหลือต้นนิดเดียว มีเพียงป้ายที่เทศบาลนำมาติดว่าเป็นยางต้นแรก ยืนอยู่ริมถนน คนผ่านไปผ่านมาเขาก็ไม่ค่อยสนใจ มีคนมาพูดผมก็อายแทน ต้องนำปุ๋ยไปใส่ทุกปี ผมเคยบอกผู้ว่าฯ หลายคนว่ามันมีต้นยางรุ่นเดียวกันอีกหลายต้น ใน อ.กันตัง และ อ.เมือง ที่สูงใหญ่กว่า และสถานที่เหมาะแก่การเป็นที่ท่องเที่ยวมากกว่า แต่ผู้ว่าบอกว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว จะแก้อะไรตอนนี้มันก็ยาก”
ด้วยความสนใจผู้เขียนจึงขอให้ลุงขำนำไปดูต้นยางต้นใหญ่รุ่นเดียวกับยางต้นแรก พร้อมๆ กับการศึกษาร่องรอยของสวนยางในเมืองตรัง 
ลุงขำตกปากรับคำเป็น “มักคุเทศก์” อย่างเต็มใจ เพราะนี่คือเรื่องที่ลุงอยากนำเสนอและประกาศให้คนทั้งประเทศรู้ว่าต้นยางรุ่นแรกไม่ใช่มีต้นเดียว และไม่ได้อยู่ที่ อ.กันตัง เท่านั้น

สวนสาธารณะพระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
สถานที่เริ่มต้น สวนพระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี สวนสาธารณะกลางเมืองตรัง 
เพื่อเคารพอนุสาวรีย์ พระยารัษฎาฯ 

            ลุงขำเริ่มต้นด้วยการนำผู้เขียนไปทานอาหารเช้ายอดฮิตขึ้นชื่อของเมืองตรัง ไม่ว่าจะเป็น หมูย่างรสเด็ดจาก “ร้านพงษ์โอชา1 พร้อมข้าวต้ม ติ่มซำ และกาแฟโบราณ แบบอิ่มแปล้ เพิ่มพลังงานก่อนเดินทางทัวร์
รายการอาหารเช้า บนโต๊ะจากร้านพงษ์โอชา 
ก่อนเริ่มต้นตะลุยเมืองตรังตามรอยยางต้นแรก
สวนสาธารณะ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณคือสวนสาธารณะกลางเมืองอันเป็นที่พักผ่อน และออกกำลังกายยามเช้าเย็นของคนรักษ์สุขภาพในเมืองตรัง สวนสาธารณะแห่งนี้คือ สวนสาธารณะ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
            ณ ใจกลางสวนแห่งนี้ปรากฏรูปปั้นอนุสาวรีย์ชื่อเดียวกับสวนสาธารณะ รู้จักกันว่าท่านคือพ่อเมืองตรังในอดีตที่คนตรังเคารพบูชา แต่น้อยรายนักที่จะรู้ว่าท่านคือ บิดาแห่งยางพาราไทย
            “มาเมืองตรังต้องมาสักการะกราบไหว้พระยารัษฎาฯ ก่อน” ลุงขำบอกก่อนจะนำผู้เขียนที่เป็นอาคันตุกะ ก่อนจะชี้ให้ดูต้นยางอายุราว 14-15 ปี ยืนตัวอยู่หลังอนุสาวรีย์ อันเป็นสัญลักษณ์ ของท่านและของเมืองตรัง
ยางพันธุ์ดี K.T. 311 ที่ลุงขำนำมาปลูกไว้
รอบอนุสาวรีย์พระยารัษฎาฯ จำนวน 9 ต้น อายุประมาณ 1 ปี 

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ลุงขำ ได้นำต้นยางพันธุ์ KT.311 อายุประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นพันธุ์ยางคุณภาพของลุงขำ มาปลูกไว้ด้านหลังอนุสาวรีย์ จำนวน 9 ต้น
“ผมคุยกับทางนายกเทศมนตรีนครตรังคนก่อน (ชาลี กางอิ่ม) ว่าจะนำยางพันธุ์ดี พันธุ์ใหม่มาปลูก 9 ต้น เพื่อให้ดูเป็นตัวอย่าง และอยากให้ผู้ว่า จ.ตรัง แต่ละคนปลูกต้นยางไว้เป็นที่ระลึกในสวนนี้” ลุงขำเผยความตั้งใจออกมา ก่อนจะนำผู้เขียนไปดูต้นยางเก่าแก่อายุอานามรุ่นเดียวกับต้นยางต้นแรก และอยู่ห่างจากสวนสาธารณะแห่งนี้ 800-900 เมตรเท่านั้น

ต้นยางเก่าแก่ 15 ต้น ณ สวนกะพังสุรินทร์
ต้นยางที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในสวนกะพังสุรินทร์

สวนสาธารณะพระยารัษฎาฯ ลุงขำนำผู้เขียนมายังสวนสาธารณะอีกแห่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดกะพังสุรินทร์ (พระอารามหลวง) วัดดังแห่งเมืองตรัง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของพุทธศาสนิกชน  จากวัดเพียง 200 เมตร ผู้เขียนและลุงขำก็ถึงสวนกะพังสุรินทร์ “ปอด” อีกแห่งของคนเมืองตรัง เพราะที่นี่มีทั้งบึงขนาดใหญ่ และต้นไม้ขนาดใหญ่อายุหลายสิบปีแน่นอน
วัดกะพังสุรินทร์ (พระอารามหลวง) วัดดังแห่งเมืองตรัง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของพุทธศาสนิกชน  อยู่ก่อนถึงสวนกะพังสุรินทร์เพียง 200 เมตร

“สมัยก่อนที่นี่เป็นสวนของราษฎรทำสวนผลไม้แบบผสมผสาน ตอนหลังกลายเป็นสวนสาธารณะ ต้นไม้ใหญ่ๆ เขาก็เก็บไว้ มีต้นไม้หลายชนิด มะม่วงป่า จำปาดะ ปาล์มน้ำมัน มะขาม มะพร้าว ดูต้นมะพร้าวนี่ซิต้นไม้สูงปรี๊ดเป็นสิบๆ เมตร แล้วก็มีต้นยางพาราขนาดใหญ่อายุนับร้อยปี” ลุงขำอธิบายปูพื้นอย่างละเอียด ก่อนจะนำผู้เขียนไปดูต้นยางพาราขนาดใหญ่นั้น
ต้นยางขนาดสูงใหญ่ทำเอาผู้เขียนตกตะลึง เพราะต้นมันใหญ่กว่าต้นยางต้นแรกที่อยู่ใน อ.กันตังมาก เมื่อเทียบกับชายชราวัย 73 ปี ทำเอาลุงขำตัวเล็กกะจิ๊ดริดเลย ใหญ่ขนาด 2 คนโอบไม่มิดแน่ วัดเส้นรอบวงได้ 3.30 เมตร
ดูความสูงใหญ่ของต้นยางพารา
ในสวนกะพังสุรินทร์ เมื่อเทียบกับลุงขำ

“เมื่อก่อนไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นต้นยาง เพราะไม่มีใครสังเกต นึกว่าเป็นต้นไม้ป่าธรรมดา ต้นมันก็สูงมาก แต่พอมาดูจริงๆ เอ้านี่มันต้นยางนี่ เพราะมีรอยกรีดยางเดิมให้เห็นร่อยรอยอยู่ แต่เมื่อก่อนเขากรีดกันแบบขวาไปซ้าย พอรู้ว่าเป็นต้นยางก็มีคนมาลองกรีดดู ผมเดินดูทั่วสวนแล้วมีต้นยางอยู่ 15 ต้น”
ลุงขำสันนิษฐานว่าเป็นต้นยางพาราในสวนกะพังสุรินทร์แห่งนี้ เป็นยางอายุใกล้เคียงกับต้นยางที่พระยารัษฎาฯ นำเข้ามาปลูกครั้งแรก โดยดูจากขนาดและความสูงใหญ่ของต้นยางนั่นเอง
“เมื่อก่อนพระยารัษฎาแนะนำให้ปลูกยางแบบสวนผสม ไม่ใช่ปลูกยางอย่างเดียว มีทั้งมะพร้าว ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ จำปาดะ ละมุด มะม่วงป่า แต่รุ่นหลังๆ ปลูกยางอย่างเดียว”
ลุงขำเล่าให้ฟังว่า คนเมืองตรังเองยังไม่รู้เลยว่ากลางเมืองมีต้นยางเก่าแก่รุ่นบุกเบิกของประเทศอยู่ เพราะส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่ต้นยางต้นแรกที่อยู่ใน อ.กันตัง ทั้งที่สวนสาธารณะกลางเมืองมีต้นยางขนาดสูงใหญ่ สมบูรณ์กว่า และยังอยู่ในสวนสาธารณะที่เหมาะแก่การศึกษาต้นยาง เพราะมีความร่มรื่น น่าพักผ่อนกว่า
ต้นยางที่อยู่ในสวนกะพังสุรินทร์ ลุงขำกำลังผลักดันให้เป็นสถานที่ศึกษาประวัติยางพาราในประเทศ เพราะมีความสมบูรณ์กว่ายางต้นแรกที่ อ.กันตัง และสถานที่สะดวกสบายกว่า

ต้นมะพร้าวสูงปรี๊ด ในสวนกะพังสุรินทร์
 “ผมอยากให้ที่นี่เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งศึกษาของแหล่งกำเนิดยางพาราของไทย ผมกำลังจะเสนอให้หอการค้าจังหวัดตรังที่ผมเป็นรองประธานอยู่มาตั้งโต๊ะประชุมกันที่นี่ และทำให้คนตรังและนักท่องเที่ยวรู้จัก เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ใครมาเมืองตรัง เมื่อมากราบไหว้อนุสาวรีย์พระยารัษฎาฯ เสร็จก็แวะมาเที่ยววัดกะพังสุรินทร์ และมาดูต้นยางเก่าแก่รุ่นพระยารัษฎาฯ ที่สวนกะพังสุรินทร์
“ผมจะนำป้ายมาติด ร่มยาง ร่มเย็น” ลุงขำเผยความตั้งใจอีกครั้ง

ย้อนอดีตเมืองท่ากันตัง แกะรอยต้นยางสวนในบ้านพักพระยารัษฎาฯ
ตึกแถวสถาปัตยกรรมโปรตุเกส ที่ยังพอมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง  ใน กันตัง

         จากตัวเมืองตรังลุงขำบอกว่าถ้าจะให้ครบสูตร เราต้องไป อ.กันตัง เพราะที่นั่นมีต้นยางต้นแรกของประเทศไทย และบ้านพักของพระยารัษฎาฯ ที่นั่นมีร่องรอยของต้นกำเนิดยางพาราที่น่าศึกษา...???
            ระหว่างทางจากตัวเมืองตรังไป อ.กันตัง ผู้เขียนสนทนากับลุงขำเรื่องยางในพื้นที่เพื่อฆ่าเวลา พร้อมด้วยภาพประกอบที่มีใช้ชมอยู่สองข้างทาง
            “สวนยางที่ตรังมันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ต้นจะเอนโย้ไปเย้มา ไม่ตรงสวยเหมือนที่อื่น เพราะเกษตรกรเขาดูแลไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โน่นแหนะเห็นไหม หรือไม่ก็ปลูกกันบนเขาเลย ยางมันชอบโตไวจริง ทาง จ.เลยที่เขาปลูกกันบนภูเขานั่นแหละคนใต้ทั้งนั้น ที่เขาที่เนินยางมันชอบ” ลุงขำเล่าพร้อมเกร็ดความรู้ ก่อนจะหยุดรถโดยไม่บอกกล่าว
            “นั่นแหละลงไปถ่ายรูปเลย” ลุงขำโบ้ยปาก
            “ดูอะไรครับลุง มีแต่บ้านคน กับร้านค้า” ผู้เขียนสงสัย
            “ก็ยางต้นแรกไง นั่นไง”
 “นี่หรือครับยางต้นแรก” ผู้เขียนตะลึง เพราะสภาพของต้นยางผิดกับต้นยางที่อยู่ในสวนสาธารณะกะพังสุรินทร์อย่างสิ้นเชิง เพราะแลดูจะตายมิตายแหล่ ขณะที่ต้นยางพาราต้นแรกก็อยู่ริมถนน ขาดการดูแลในฐานะยางต้นแรก มีเพียงป้ายติดว่ายางต้นแรกเท่านั้น การจะไปดูชมต้องจอดรถบนถนน ร้อนแดด เสี่ยงอันตราย จะถ่ายรู้ต้องวิ่งข้ามถนนไปเกาะกลาง เสี่ยงอุบัติเหตุ และสภาพต้นยางก็ขาดการดูแล
นี่คือสภาพปัจจุบันของต้นยางพาราต้นแรกของประเทศ อยู่ริมถนนสายตรัง-กันตัง ลุงขำแสดงความรู้สึกว่า “คนที่ผ่านไปมาก็ไม่ให้ความสำคัญ พืชเกษตรสร้างเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของไทยมาอยู่ตรงนี้ มีคนเคยบอกกับผมว่าเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติต้นยางต้นแรก ผมฟังก็อายแทน ผมต้องให้ลูกชาย (ภราดร นุชิตศิริภัทรา) เอาปุ๋ยมาใส่ทุกปี”

“คนที่ผ่านไปมาก็ไม่ให้ความสำคัญ พืชเกษตรสร้างเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของไทยมาอยู่ตรงนี้ มีคนเคยบอกกับผมว่าเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติต้นยางต้นแรก ผมฟังก็อายแทน ผมต้องให้ลูกชาย (ภราดร นุชิตศิริภัทรา) เอาปุ๋ยมาใส่ทุกปี ผมเคยคุยกับผู้ว่าหลายคน เขาบอกว่ามันเป็นประวัติศาสตร์แล้วโกขำเอ้ย ไปแก้ไม่ได้หรอก”
ผู้เขียนและลุงขำผ่านต้นยางต้นแรกของประเทศไปอย่างหดหู่...!!!
เต๋าเต้ยนึ่งบ๊วย เมนูเด็ด มื้อกลางวัน
ที่ห้องอาหารริมน้ำ เมืองกันตัง
เราสองคนขจัดความหดหู่ด้วยการไปหาอาหารมื้อเที่ยงกินกันที่ท่าเรือกันตัง ที่นั่นลุงขำบอกว่าเป็นร้านอาหารทะเลเก่าแก่และรสชาติดีอยู่ ซึ่งลุงขำเป็นลูกค้าประจำ ชื่อร้านว่า “ห้องอาหารริมน้ำ” อาหารขึ้นชื่อคือ ปลาเต๋าเต้ยหม้อไฟ เนื้อนุ่มหวาน ปูไข่ผัดผงกะหรี่ และกุ้งใหญ่ผัดพริกไทยดำ เป็นต้น
“ในอดีตกันตังเป็นเมืองท่าสำคัญ มีการค้าขายขนส่งสินค้ากันทางทะเล เตี่ยผมเมื่อก่อนก็ขนสินค้าไปขายเกาะหมาก หรือเกาะปีนัง ในแหลมมลายูหรือมาเลเซีย เมื่อก่อนมีรถไฟมาถึงท่าเรือเลย แต่เดี๋ยวนี้มีถนนหนทางรถไฟก็รื้อไป  ท่าเรือก็เงียบเหงา มีแต่การขนส่งสินค้าแบบใช้เรือขนส่งสินค้า เดือนละ 1-2 ครั้ง สินค้าที่จะเป็นยางพาราและไม้ยางพาราแปรรูป หรือไม่ก็พวกแร่ถ่านหิน ลุงขำนั่งเล่าย้อนอดีตความรุ่งเรือง
ภาพการคมนาคมทางน้ำ ณ ท่าเรือกันตัง 
เห็นแล้วยังขลัง สะท้อนภาพอดีตยิ่งนัก

แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่วันนี้ จ.ตรังได้สร้างท่าเรือขนส่งสินค้าน้ำลึกชื่อว่าท่าเรือนาเกลือขนส่งสินค้าไปต่างประเทศห่างจากท่าเรือเก่าประมาณ 7 กิโลเมตร และท่าเรือบ้านคลองสน เป็นท่าเรือท่องเที่ยว จอดเรือได้ 8 ลำ รถ 300 คัน พร้อมจะเปิดอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
แม้ว่าวันนี้ภาพเหล่านั้นจะหายไปแล้ว แต่ก็ยังมีกลิ่นจางๆ ให้เห็นผ่านตึกรามบ้านช่องสถาปัตยกรรมโปรตุเกส ที่ยังพอมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง  และจากสถานีรถไฟกันตัง สถานีรถไฟเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ที่มีกลิ่นอายอดีตคละคลุ้ง ตัวอาคารเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยาสีเหลืองมัสตาร์ด ด้านหน้ามีมุขยื่น ตกแต่งมุมเสาด้วยลวดลายไม้ฉลุ ประตูเป็นประตูไม้บานเฟี้ยมแบบเก่า ภายในมีเครื่องมือเครื่องใช้เก่าแก่ให้ชม

นายประพัฒน์ ไหมขาว นายสถานีบอกว่าที่นี่มีอายุกว่า 100 ปี กักเก็บเรื่องราวด้านโลจิสติกต์ในอดีตไว้มากมาย แต่ปัจจุบันมีขบวนรถไฟจากกรุงเทพมายังสถานีเก่าแก่นี้เพียง 1 เที่ยวต่อวันเท่านั้น...!!!


"กันตัง" สถานีรถไฟสุดท้ายปลายสุดฝั่งอันดามัน นายประพัฒน์ ไหมขาว นายสถานีบอกว่าที่นี่มีอายุกว่า 100 ปี กักเก็บเรื่องราวด้านโลจิสติกต์ในอดีตไว้มากมาย แต่ปัจจุบันมีขบวนรถไฟจากกรุงเทพมายังสถานีเก่าแก่นี้เพียง 1 เที่ยวต่อวันเท่านั้น...!!!

ปัจจุบันมีรถไฟจากกรุงเทพมา สถานีกันตังวันละ 1 เที่ยว

ท่าเรือกันตัง วันนี้เงียบเหงาไปจากอดีตมาก สินค้าส่วนใหญ่คือ ไม้ยางพารา

ชมพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ และต้นยางเก่าแก่อีกรุ่น

สถานที่อีกแห่งใน อ.กันตัง ที่ลุงขำนำเสนอและย้ำว่าต้องไปให้ได้ ที่นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) อดีตคือ บ้านพักของพระยารัษฎาฯ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ห่างจากเทศบาลกันตังประมาณ 200 เมตร ตั้งอยู่ในถนนค่ายพิทักษ์ เป็นที่ตั้งของสถานที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ จวนเก่าเจ้าเมืองตรัง หรือบ้านพักอดีตเจ้าเมืองตรังพระยารัษฎานุประดิษฐ์ เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น มีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งและเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของท่านอย่างครบถ้วน โดยทายาทตระกูล ณ ระนอง เป็นผู้ดูแลรักษาเปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ (ถ้าตรงกับวันหยุดราชการเปิดตามปกติ และหยุดชดเชยในวันต่อไป) เวลา 8.00 -16.30 น.
ภายในพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ 
เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนตัวของพระยารัษฎาฯ ไว้อย่างครบถ้วนให้ศึกษากัน

ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ ซึ่งเป็นอีกสถานที่ที่ถูกลืม ไม่อยู่ในตารางของนักท่องเที่ยว สังเกตได้จากนักท่องเที่ยวในแต่ละวันน้อยนิด และคนเข้ามาบางครั้งก็ไม่รู้ว่าพระยารัษฎาฯ เป็นบุคคลสำคัญอย่างไร เพียงแค่รู้ว่าเป็นพ่อเมืองตรังเท่านั้น
ที่สำคัญภายในยังมีต้นยางพาราขนาดใหญ่ที่พระยารัษฎาฯ ปลูกไว้อยู่หลายต้นควรค่าแก่การอนุรักษ์ยิ่ง
หุ่นขี้ผึ้งพระยารัษฎาฯ 

            ท่านที่ผ่านไปเที่ยวเมืองตรัง หรือต้องการตามรอยยางพาราไทย โปรแกรมที่ลุงขำพาผู้เขียนไปชมน่าสนใจไม่เบา ถ้ามาเมืองตรังลุงขำแนะนำว่า “ท่านที่มา จ.ตรัง แต่ไม่มีเวลาไปดูต้นยางที่ อ.กันตัง ระยะทางไปกลับ 46 กม. แต่มีทางเลือก เมื่อมาคารวะพระยารัษฎาเสร็จ ก็มาสักการะวัดกะพังสุรินทร์ อารามหลวง และเลยมาเพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงสวนกะพังสุรินทร์ ก็มาดูต้นยางยุคแรกๆ ของไทยโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไกล และบรรยากาศยังน่าเที่ยวชมอย่างยิ่ง”
ต้นยางเก่าแก่ภายในบริเวณ พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ ยังหลงเหลือให้เห็น

แต่ถ้าต้องการให้ครบสูตรก็ต้องมากันตังด้วย มาดูต้นยางต้นแรกให้เห็นสภาพกับตา และดูบรรยากาศความเก่าแก่ของเมืองท่ากันตัง ที่สะท้อนออกมาทางสถาปัตยกรรม เช่น บ้านเรือน และสถานีรถไฟกันตัง และก็อย่าลืมตบท้ายด้วยเข้าชมพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ บิดาแห่งยางพาราไทย ว่ากันว่าอุตสาหกรรมยางพาราไทยกว่า 7 แสนล้านบาท/ ปี ท่านคือผู้สร้างจุดเริ่มต้น      
นอกจากนั้นลุงขำในฐานะคนตรังยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังระดับโลกของเมืองตรังคือ งานวิวาห์ใต้สมุทร ที่เกาะมุก จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งมีนายสุรินทร์ โตทับเที่ยง รองประธานหอการค้าไทยเป็นผู้บุกเบิก และยังมีงานเทศกาลอาหารให้ได้เที่ยวกันตลอดทั้งปี เช่น เทศกาลกินหมูย่างเมืองตรัง เทศกาลกินเจ เทศกาลหอยตะเภา และเทศกาลขนมเค้ก เป็นต้น

ขอขอบคุณ
นายขำ นุชิตศิริภัทรา โทรศัพท์ 08-1979-9999








เรื่อง  :  พิมพ์ใจ พิสุทธิ์จริยานันท์
 (นิตยสารยางเศรษฐกิจ ประจำเดือนตุลาคม 2555)
ต้นยางพารารุ่นเดียวกับยางต้นแรกที่หลงเหลืออยู่ ณ สวนกะพังสุรินทร์ อายุน่าจะเป็นร้อยปี มีอยู่ในสวนแห่งนี้ประมาณ 15 ต้น 
คาอุท์ชุค (Caoutchouc) แปลเป็นไทยว่า “ต้นไม้ร้องไห้” เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองบริเวณลุ่นน้ำอเมซอน แห่งทวีปอเมริกาใต้ เรียกต้นยางพารา ซึ่ง ณ ที่แห่งนั้นคือ “ต้นกำเนิด” ของยางพารา
เท็จจริงไม่รู้ แต่ผู้เขียนสันนิษฐานว่าของเหลวสีขาวข้นคลักที่ไหลออกมาจากเปลือกยางพารา คือที่มาของคำเรียกต้นไม้ร้องไห้ ก่อนที่ภายหลัง “น้ำตา” จากต้นยาง ในปี 2313 มีการคิดค้นนำมาใช้เป็น “ยางลบ” สำหรับลบรอยดินสอโดยไม่ทำให้กระดาษเสียหาย  โดย โจเซฟ พริลลี่
53 ปี ต่อมา ชาล์ล แมกกินตอซ คิดค้นนำมาผลิตเสื้อกันฝนจำหน่ายในสก็อตแลนด์เป็นครั้งแรก   จากนั้นใน ปี พ.. 2389 โทมัส แฮนค็อค ประดิษฐ์ยางตันสำหรับรถม้าทรงของพระนางเจ้าวิคตอเรีย ซึ่งนั่นเป็นที่มาของการประดิษฐ์ล้อรถยนต์ได้สำเร็จในปี พ.. 2438 เป็นการก้าวเข้าสู่ยุคการขนส่งการคมนาคมสมัยใหม่  และนำมาสู่อุตสาหกรรมยางทีมีบทบาทต่อมนุษย์โลกอย่างปัจจุบัน
สำหรับไทย ประเทศที่ยิ่งใหญ่ ของโลก ด้านอุตสาหกรรมยางระดับ “ต้นน้ำ” ผลิตและส่งออกยางอันดับ 1 ของโลก หรือมากกว่า 3.5 ล้านตัน/ปี หากย้อนรอยประวัติศาสตร์ก็นำต้นยางเข้ามาปลูกในเมืองไทยมีการสันนิษฐานว่าเริ่มเข้ามาในปี 2442-2444 หรือเมื่อ  113  ปีผ่านมาแล้ว โดยการนำเมล็ดยางพารามาปลูกใน อ.กันตัง จ.ตรัง โดย คอซิมบี้ ณ ระนอง หรือ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี หรือ พระยาเทษาภิบาลมณฑลภูเก็ต ตำแหน่งในขณะนั้น ชาวบ้านสมัยนั้นเรียกต้นไม้ต้นนี้ว่า “ต้นยางเทษา”
พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี หรือ  คอซิมบี้ ณ ระนอง 
ผู้นำยางพาราต้นแรกเข้ามาปลูกในประเทศไทย 
ก่อนจะได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งยางพาราไทย
ปี 2444 พระยารัษฎาฯ ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกยางพาราทดแทนการทำเหมืองแร่ดีบุก นับจากนั้นต้นยางจึงได้ถูกขยายพันธุ์และกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และทั่ว 14 จังหวัดภาคใต้
 ภายหลังปี 2454 หลวงราชไมตรี หรือ ปูม ปุณศรี นำพันธุ์มาปลูกใน จ.จันทบุรี จากนั้นกระจายไปทั่วประเทศกว่า 18 ล้านไร่เยี่ยงปัจจุบัน
กลายเป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งในรูปของวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ทุกชนิดมูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท/ปี
จากมูลค่ายาง 7 แสนล้าน และเป้ารัฐบาลปัจจุบันโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของประเทศนี้จะผลักดันให้มูลค่ายางพาราสูงถึง 1 ล้านล้านบาทในปีหน้า ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าทำได้ไม่ยากหากหันไปให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์
จากเป้าอนาคตที่มีแนวโน้มเป็นจริง ผู้เขียนหวนกลับไปคิดถึงจุดเริ่มต้นของต้นยางพาราในเมืองไทย ซึ่งข้อมูลที่รู้กันดีว่ายางต้นแรก อยู่ใน อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งน่าจะมีอายุมากกว่า 100 ปี คำถามคือ ร่องรอยของต้นยางยุคแรกๆ นอกจากยางต้นแรกที่ถูกนำมาชูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวฉิ่งฉับทัวร์ถ่ายรูป มากกว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ของมัน หลงเหลืออยู่เพียงต้นเดียวจริงหรือ...???
ลุงขำ นุชิตศิริภัทรา

“ต้นยางพาราต้นใหญ่กว่าต้นยางต้นแรกที่กันตัง มีอยู่หลายแห่งใน จ.ตรัง ไม่ใช่มีต้นนั้นต้นเดียว มันสูงใหญ่และสมบูรณ์กว่าอีก เขาสนใจแต่ต้นยางต้นแรกที่อุปโลกน์ขึ้น แต่มันยังมีอยู่อีกแต่ไม่มีใครสนใจ”
นายขำ นุชิตศิริภัทรา หรือ “ลุงขำ” ที่คนในอาชีพสวนยางรู้จักกันดี เขาคือคนตรัง ประกอบอาชีพสวนยางมามากกว่าครึ่งชีวิต มากแค่ไหนนะหรือ อายุ 73 ปี ของลุงขำ คือคำตอบ...!!!
ด้วยความที่เป็นคนตรัง และยังทำสวนยางบนผืนแผ่นดินที่เป็นต้นกำเนิดของยางพาราไทย การอนุรักษ์และหวงแหนในคุณค่าของต้นยางจึงมีค่อนข้างสูงกว่าคนในจังหวัดอื่น
“ต้นยางต้นแรกตอนนี้มันไม่มีใครดูแล หักโค่น จนเหลือต้นนิดเดียว มีเพียงป้ายที่เทศบาลนำมาติดว่าเป็นยางต้นแรก ยืนอยู่ริมถนน คนผ่านไปผ่านมาเขาก็ไม่ค่อยสนใจ มีคนมาพูดผมก็อายแทน ต้องนำปุ๋ยไปใส่ทุกปี ผมเคยบอกผู้ว่าฯ หลายคนว่ามันมีต้นยางรุ่นเดียวกันอีกหลายต้น ใน อ.กันตัง และ อ.เมือง ที่สูงใหญ่กว่า และสถานที่เหมาะแก่การเป็นที่ท่องเที่ยวมากกว่า แต่ผู้ว่าบอกว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว จะแก้อะไรตอนนี้มันก็ยาก”
ด้วยความสนใจผู้เขียนจึงขอให้ลุงขำนำไปดูต้นยางต้นใหญ่รุ่นเดียวกับยางต้นแรก พร้อมๆ กับการศึกษาร่องรอยของสวนยางในเมืองตรัง 
ลุงขำตกปากรับคำเป็น “มักคุเทศก์” อย่างเต็มใจ เพราะนี่คือเรื่องที่ลุงอยากนำเสนอและประกาศให้คนทั้งประเทศรู้ว่าต้นยางรุ่นแรกไม่ใช่มีต้นเดียว และไม่ได้อยู่ที่ อ.กันตัง เท่านั้น

สวนสาธารณะพระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
สถานที่เริ่มต้น สวนพระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี สวนสาธารณะกลางเมืองตรัง 
เพื่อเคารพอนุสาวรีย์ พระยารัษฎาฯ 

            ลุงขำเริ่มต้นด้วยการนำผู้เขียนไปทานอาหารเช้ายอดฮิตขึ้นชื่อของเมืองตรัง ไม่ว่าจะเป็น หมูย่างรสเด็ดจาก “ร้านพงษ์โอชา1 พร้อมข้าวต้ม ติ่มซำ และกาแฟโบราณ แบบอิ่มแปล้ เพิ่มพลังงานก่อนเดินทางทัวร์
รายการอาหารเช้า บนโต๊ะจากร้านพงษ์โอชา 
ก่อนเริ่มต้นตะลุยเมืองตรังตามรอยยางต้นแรก
สวนสาธารณะ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณคือสวนสาธารณะกลางเมืองอันเป็นที่พักผ่อน และออกกำลังกายยามเช้าเย็นของคนรักษ์สุขภาพในเมืองตรัง สวนสาธารณะแห่งนี้คือ สวนสาธารณะ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
            ณ ใจกลางสวนแห่งนี้ปรากฏรูปปั้นอนุสาวรีย์ชื่อเดียวกับสวนสาธารณะ รู้จักกันว่าท่านคือพ่อเมืองตรังในอดีตที่คนตรังเคารพบูชา แต่น้อยรายนักที่จะรู้ว่าท่านคือ บิดาแห่งยางพาราไทย
            “มาเมืองตรังต้องมาสักการะกราบไหว้พระยารัษฎาฯ ก่อน” ลุงขำบอกก่อนจะนำผู้เขียนที่เป็นอาคันตุกะ ก่อนจะชี้ให้ดูต้นยางอายุราว 14-15 ปี ยืนตัวอยู่หลังอนุสาวรีย์ อันเป็นสัญลักษณ์ ของท่านและของเมืองตรัง
ยางพันธุ์ดี K.T. 311 ที่ลุงขำนำมาปลูกไว้
รอบอนุสาวรีย์พระยารัษฎาฯ จำนวน 9 ต้น อายุประมาณ 1 ปี 

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ลุงขำ ได้นำต้นยางพันธุ์ KT.311 อายุประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นพันธุ์ยางคุณภาพของลุงขำ มาปลูกไว้ด้านหลังอนุสาวรีย์ จำนวน 9 ต้น
“ผมคุยกับทางนายกเทศมนตรีนครตรังคนก่อน (ชาลี กางอิ่ม) ว่าจะนำยางพันธุ์ดี พันธุ์ใหม่มาปลูก 9 ต้น เพื่อให้ดูเป็นตัวอย่าง และอยากให้ผู้ว่า จ.ตรัง แต่ละคนปลูกต้นยางไว้เป็นที่ระลึกในสวนนี้” ลุงขำเผยความตั้งใจออกมา ก่อนจะนำผู้เขียนไปดูต้นยางเก่าแก่อายุอานามรุ่นเดียวกับต้นยางต้นแรก และอยู่ห่างจากสวนสาธารณะแห่งนี้ 800-900 เมตรเท่านั้น

ต้นยางเก่าแก่ 15 ต้น ณ สวนกะพังสุรินทร์
ต้นยางที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในสวนกะพังสุรินทร์

สวนสาธารณะพระยารัษฎาฯ ลุงขำนำผู้เขียนมายังสวนสาธารณะอีกแห่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดกะพังสุรินทร์ (พระอารามหลวง) วัดดังแห่งเมืองตรัง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของพุทธศาสนิกชน  จากวัดเพียง 200 เมตร ผู้เขียนและลุงขำก็ถึงสวนกะพังสุรินทร์ “ปอด” อีกแห่งของคนเมืองตรัง เพราะที่นี่มีทั้งบึงขนาดใหญ่ และต้นไม้ขนาดใหญ่อายุหลายสิบปีแน่นอน
วัดกะพังสุรินทร์ (พระอารามหลวง) วัดดังแห่งเมืองตรัง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของพุทธศาสนิกชน  อยู่ก่อนถึงสวนกะพังสุรินทร์เพียง 200 เมตร

“สมัยก่อนที่นี่เป็นสวนของราษฎรทำสวนผลไม้แบบผสมผสาน ตอนหลังกลายเป็นสวนสาธารณะ ต้นไม้ใหญ่ๆ เขาก็เก็บไว้ มีต้นไม้หลายชนิด มะม่วงป่า จำปาดะ ปาล์มน้ำมัน มะขาม มะพร้าว ดูต้นมะพร้าวนี่ซิต้นไม้สูงปรี๊ดเป็นสิบๆ เมตร แล้วก็มีต้นยางพาราขนาดใหญ่อายุนับร้อยปี” ลุงขำอธิบายปูพื้นอย่างละเอียด ก่อนจะนำผู้เขียนไปดูต้นยางพาราขนาดใหญ่นั้น
ต้นยางขนาดสูงใหญ่ทำเอาผู้เขียนตกตะลึง เพราะต้นมันใหญ่กว่าต้นยางต้นแรกที่อยู่ใน อ.กันตังมาก เมื่อเทียบกับชายชราวัย 73 ปี ทำเอาลุงขำตัวเล็กกะจิ๊ดริดเลย ใหญ่ขนาด 2 คนโอบไม่มิดแน่ วัดเส้นรอบวงได้ 3.30 เมตร
ดูความสูงใหญ่ของต้นยางพารา
ในสวนกะพังสุรินทร์ เมื่อเทียบกับลุงขำ

“เมื่อก่อนไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นต้นยาง เพราะไม่มีใครสังเกต นึกว่าเป็นต้นไม้ป่าธรรมดา ต้นมันก็สูงมาก แต่พอมาดูจริงๆ เอ้านี่มันต้นยางนี่ เพราะมีรอยกรีดยางเดิมให้เห็นร่อยรอยอยู่ แต่เมื่อก่อนเขากรีดกันแบบขวาไปซ้าย พอรู้ว่าเป็นต้นยางก็มีคนมาลองกรีดดู ผมเดินดูทั่วสวนแล้วมีต้นยางอยู่ 15 ต้น”
ลุงขำสันนิษฐานว่าเป็นต้นยางพาราในสวนกะพังสุรินทร์แห่งนี้ เป็นยางอายุใกล้เคียงกับต้นยางที่พระยารัษฎาฯ นำเข้ามาปลูกครั้งแรก โดยดูจากขนาดและความสูงใหญ่ของต้นยางนั่นเอง
“เมื่อก่อนพระยารัษฎาแนะนำให้ปลูกยางแบบสวนผสม ไม่ใช่ปลูกยางอย่างเดียว มีทั้งมะพร้าว ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ จำปาดะ ละมุด มะม่วงป่า แต่รุ่นหลังๆ ปลูกยางอย่างเดียว”
ลุงขำเล่าให้ฟังว่า คนเมืองตรังเองยังไม่รู้เลยว่ากลางเมืองมีต้นยางเก่าแก่รุ่นบุกเบิกของประเทศอยู่ เพราะส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่ต้นยางต้นแรกที่อยู่ใน อ.กันตัง ทั้งที่สวนสาธารณะกลางเมืองมีต้นยางขนาดสูงใหญ่ สมบูรณ์กว่า และยังอยู่ในสวนสาธารณะที่เหมาะแก่การศึกษาต้นยาง เพราะมีความร่มรื่น น่าพักผ่อนกว่า
ต้นยางที่อยู่ในสวนกะพังสุรินทร์ ลุงขำกำลังผลักดันให้เป็นสถานที่ศึกษาประวัติยางพาราในประเทศ เพราะมีความสมบูรณ์กว่ายางต้นแรกที่ อ.กันตัง และสถานที่สะดวกสบายกว่า

ต้นมะพร้าวสูงปรี๊ด ในสวนกะพังสุรินทร์
 “ผมอยากให้ที่นี่เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งศึกษาของแหล่งกำเนิดยางพาราของไทย ผมกำลังจะเสนอให้หอการค้าจังหวัดตรังที่ผมเป็นรองประธานอยู่มาตั้งโต๊ะประชุมกันที่นี่ และทำให้คนตรังและนักท่องเที่ยวรู้จัก เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ใครมาเมืองตรัง เมื่อมากราบไหว้อนุสาวรีย์พระยารัษฎาฯ เสร็จก็แวะมาเที่ยววัดกะพังสุรินทร์ และมาดูต้นยางเก่าแก่รุ่นพระยารัษฎาฯ ที่สวนกะพังสุรินทร์
“ผมจะนำป้ายมาติด ร่มยาง ร่มเย็น” ลุงขำเผยความตั้งใจอีกครั้ง

ย้อนอดีตเมืองท่ากันตัง แกะรอยต้นยางสวนในบ้านพักพระยารัษฎาฯ
ตึกแถวสถาปัตยกรรมโปรตุเกส ที่ยังพอมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง  ใน กันตัง

         จากตัวเมืองตรังลุงขำบอกว่าถ้าจะให้ครบสูตร เราต้องไป อ.กันตัง เพราะที่นั่นมีต้นยางต้นแรกของประเทศไทย และบ้านพักของพระยารัษฎาฯ ที่นั่นมีร่องรอยของต้นกำเนิดยางพาราที่น่าศึกษา...???
            ระหว่างทางจากตัวเมืองตรังไป อ.กันตัง ผู้เขียนสนทนากับลุงขำเรื่องยางในพื้นที่เพื่อฆ่าเวลา พร้อมด้วยภาพประกอบที่มีใช้ชมอยู่สองข้างทาง
            “สวนยางที่ตรังมันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ต้นจะเอนโย้ไปเย้มา ไม่ตรงสวยเหมือนที่อื่น เพราะเกษตรกรเขาดูแลไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โน่นแหนะเห็นไหม หรือไม่ก็ปลูกกันบนเขาเลย ยางมันชอบโตไวจริง ทาง จ.เลยที่เขาปลูกกันบนภูเขานั่นแหละคนใต้ทั้งนั้น ที่เขาที่เนินยางมันชอบ” ลุงขำเล่าพร้อมเกร็ดความรู้ ก่อนจะหยุดรถโดยไม่บอกกล่าว
            “นั่นแหละลงไปถ่ายรูปเลย” ลุงขำโบ้ยปาก
            “ดูอะไรครับลุง มีแต่บ้านคน กับร้านค้า” ผู้เขียนสงสัย
            “ก็ยางต้นแรกไง นั่นไง”
 “นี่หรือครับยางต้นแรก” ผู้เขียนตะลึง เพราะสภาพของต้นยางผิดกับต้นยางที่อยู่ในสวนสาธารณะกะพังสุรินทร์อย่างสิ้นเชิง เพราะแลดูจะตายมิตายแหล่ ขณะที่ต้นยางพาราต้นแรกก็อยู่ริมถนน ขาดการดูแลในฐานะยางต้นแรก มีเพียงป้ายติดว่ายางต้นแรกเท่านั้น การจะไปดูชมต้องจอดรถบนถนน ร้อนแดด เสี่ยงอันตราย จะถ่ายรู้ต้องวิ่งข้ามถนนไปเกาะกลาง เสี่ยงอุบัติเหตุ และสภาพต้นยางก็ขาดการดูแล
นี่คือสภาพปัจจุบันของต้นยางพาราต้นแรกของประเทศ อยู่ริมถนนสายตรัง-กันตัง ลุงขำแสดงความรู้สึกว่า “คนที่ผ่านไปมาก็ไม่ให้ความสำคัญ พืชเกษตรสร้างเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของไทยมาอยู่ตรงนี้ มีคนเคยบอกกับผมว่าเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติต้นยางต้นแรก ผมฟังก็อายแทน ผมต้องให้ลูกชาย (ภราดร นุชิตศิริภัทรา) เอาปุ๋ยมาใส่ทุกปี”

“คนที่ผ่านไปมาก็ไม่ให้ความสำคัญ พืชเกษตรสร้างเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของไทยมาอยู่ตรงนี้ มีคนเคยบอกกับผมว่าเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติต้นยางต้นแรก ผมฟังก็อายแทน ผมต้องให้ลูกชาย (ภราดร นุชิตศิริภัทรา) เอาปุ๋ยมาใส่ทุกปี ผมเคยคุยกับผู้ว่าหลายคน เขาบอกว่ามันเป็นประวัติศาสตร์แล้วโกขำเอ้ย ไปแก้ไม่ได้หรอก”
ผู้เขียนและลุงขำผ่านต้นยางต้นแรกของประเทศไปอย่างหดหู่...!!!
เต๋าเต้ยนึ่งบ๊วย เมนูเด็ด มื้อกลางวัน
ที่ห้องอาหารริมน้ำ เมืองกันตัง
เราสองคนขจัดความหดหู่ด้วยการไปหาอาหารมื้อเที่ยงกินกันที่ท่าเรือกันตัง ที่นั่นลุงขำบอกว่าเป็นร้านอาหารทะเลเก่าแก่และรสชาติดีอยู่ ซึ่งลุงขำเป็นลูกค้าประจำ ชื่อร้านว่า “ห้องอาหารริมน้ำ” อาหารขึ้นชื่อคือ ปลาเต๋าเต้ยหม้อไฟ เนื้อนุ่มหวาน ปูไข่ผัดผงกะหรี่ และกุ้งใหญ่ผัดพริกไทยดำ เป็นต้น
“ในอดีตกันตังเป็นเมืองท่าสำคัญ มีการค้าขายขนส่งสินค้ากันทางทะเล เตี่ยผมเมื่อก่อนก็ขนสินค้าไปขายเกาะหมาก หรือเกาะปีนัง ในแหลมมลายูหรือมาเลเซีย เมื่อก่อนมีรถไฟมาถึงท่าเรือเลย แต่เดี๋ยวนี้มีถนนหนทางรถไฟก็รื้อไป  ท่าเรือก็เงียบเหงา มีแต่การขนส่งสินค้าแบบใช้เรือขนส่งสินค้า เดือนละ 1-2 ครั้ง สินค้าที่จะเป็นยางพาราและไม้ยางพาราแปรรูป หรือไม่ก็พวกแร่ถ่านหิน ลุงขำนั่งเล่าย้อนอดีตความรุ่งเรือง
ภาพการคมนาคมทางน้ำ ณ ท่าเรือกันตัง 
เห็นแล้วยังขลัง สะท้อนภาพอดีตยิ่งนัก

แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่วันนี้ จ.ตรังได้สร้างท่าเรือขนส่งสินค้าน้ำลึกชื่อว่าท่าเรือนาเกลือขนส่งสินค้าไปต่างประเทศห่างจากท่าเรือเก่าประมาณ 7 กิโลเมตร และท่าเรือบ้านคลองสน เป็นท่าเรือท่องเที่ยว จอดเรือได้ 8 ลำ รถ 300 คัน พร้อมจะเปิดอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
แม้ว่าวันนี้ภาพเหล่านั้นจะหายไปแล้ว แต่ก็ยังมีกลิ่นจางๆ ให้เห็นผ่านตึกรามบ้านช่องสถาปัตยกรรมโปรตุเกส ที่ยังพอมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง  และจากสถานีรถไฟกันตัง สถานีรถไฟเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ที่มีกลิ่นอายอดีตคละคลุ้ง ตัวอาคารเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยาสีเหลืองมัสตาร์ด ด้านหน้ามีมุขยื่น ตกแต่งมุมเสาด้วยลวดลายไม้ฉลุ ประตูเป็นประตูไม้บานเฟี้ยมแบบเก่า ภายในมีเครื่องมือเครื่องใช้เก่าแก่ให้ชม

นายประพัฒน์ ไหมขาว นายสถานีบอกว่าที่นี่มีอายุกว่า 100 ปี กักเก็บเรื่องราวด้านโลจิสติกต์ในอดีตไว้มากมาย แต่ปัจจุบันมีขบวนรถไฟจากกรุงเทพมายังสถานีเก่าแก่นี้เพียง 1 เที่ยวต่อวันเท่านั้น...!!!


"กันตัง" สถานีรถไฟสุดท้ายปลายสุดฝั่งอันดามัน นายประพัฒน์ ไหมขาว นายสถานีบอกว่าที่นี่มีอายุกว่า 100 ปี กักเก็บเรื่องราวด้านโลจิสติกต์ในอดีตไว้มากมาย แต่ปัจจุบันมีขบวนรถไฟจากกรุงเทพมายังสถานีเก่าแก่นี้เพียง 1 เที่ยวต่อวันเท่านั้น...!!!

ปัจจุบันมีรถไฟจากกรุงเทพมา สถานีกันตังวันละ 1 เที่ยว

ท่าเรือกันตัง วันนี้เงียบเหงาไปจากอดีตมาก สินค้าส่วนใหญ่คือ ไม้ยางพารา

ชมพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ และต้นยางเก่าแก่อีกรุ่น

สถานที่อีกแห่งใน อ.กันตัง ที่ลุงขำนำเสนอและย้ำว่าต้องไปให้ได้ ที่นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) อดีตคือ บ้านพักของพระยารัษฎาฯ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ห่างจากเทศบาลกันตังประมาณ 200 เมตร ตั้งอยู่ในถนนค่ายพิทักษ์ เป็นที่ตั้งของสถานที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ จวนเก่าเจ้าเมืองตรัง หรือบ้านพักอดีตเจ้าเมืองตรังพระยารัษฎานุประดิษฐ์ เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น มีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งและเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของท่านอย่างครบถ้วน โดยทายาทตระกูล ณ ระนอง เป็นผู้ดูแลรักษาเปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ (ถ้าตรงกับวันหยุดราชการเปิดตามปกติ และหยุดชดเชยในวันต่อไป) เวลา 8.00 -16.30 น.
ภายในพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ 
เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนตัวของพระยารัษฎาฯ ไว้อย่างครบถ้วนให้ศึกษากัน

ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ ซึ่งเป็นอีกสถานที่ที่ถูกลืม ไม่อยู่ในตารางของนักท่องเที่ยว สังเกตได้จากนักท่องเที่ยวในแต่ละวันน้อยนิด และคนเข้ามาบางครั้งก็ไม่รู้ว่าพระยารัษฎาฯ เป็นบุคคลสำคัญอย่างไร เพียงแค่รู้ว่าเป็นพ่อเมืองตรังเท่านั้น
ที่สำคัญภายในยังมีต้นยางพาราขนาดใหญ่ที่พระยารัษฎาฯ ปลูกไว้อยู่หลายต้นควรค่าแก่การอนุรักษ์ยิ่ง
หุ่นขี้ผึ้งพระยารัษฎาฯ 

            ท่านที่ผ่านไปเที่ยวเมืองตรัง หรือต้องการตามรอยยางพาราไทย โปรแกรมที่ลุงขำพาผู้เขียนไปชมน่าสนใจไม่เบา ถ้ามาเมืองตรังลุงขำแนะนำว่า “ท่านที่มา จ.ตรัง แต่ไม่มีเวลาไปดูต้นยางที่ อ.กันตัง ระยะทางไปกลับ 46 กม. แต่มีทางเลือก เมื่อมาคารวะพระยารัษฎาเสร็จ ก็มาสักการะวัดกะพังสุรินทร์ อารามหลวง และเลยมาเพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงสวนกะพังสุรินทร์ ก็มาดูต้นยางยุคแรกๆ ของไทยโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไกล และบรรยากาศยังน่าเที่ยวชมอย่างยิ่ง”
ต้นยางเก่าแก่ภายในบริเวณ พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ ยังหลงเหลือให้เห็น

แต่ถ้าต้องการให้ครบสูตรก็ต้องมากันตังด้วย มาดูต้นยางต้นแรกให้เห็นสภาพกับตา และดูบรรยากาศความเก่าแก่ของเมืองท่ากันตัง ที่สะท้อนออกมาทางสถาปัตยกรรม เช่น บ้านเรือน และสถานีรถไฟกันตัง และก็อย่าลืมตบท้ายด้วยเข้าชมพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ บิดาแห่งยางพาราไทย ว่ากันว่าอุตสาหกรรมยางพาราไทยกว่า 7 แสนล้านบาท/ ปี ท่านคือผู้สร้างจุดเริ่มต้น      
นอกจากนั้นลุงขำในฐานะคนตรังยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังระดับโลกของเมืองตรังคือ งานวิวาห์ใต้สมุทร ที่เกาะมุก จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งมีนายสุรินทร์ โตทับเที่ยง รองประธานหอการค้าไทยเป็นผู้บุกเบิก และยังมีงานเทศกาลอาหารให้ได้เที่ยวกันตลอดทั้งปี เช่น เทศกาลกินหมูย่างเมืองตรัง เทศกาลกินเจ เทศกาลหอยตะเภา และเทศกาลขนมเค้ก เป็นต้น

ขอขอบคุณ
นายขำ นุชิตศิริภัทรา โทรศัพท์ 08-1979-9999








Random Posts

randomposts